29.10.59

Prompt : #1190 Green Carnation






Green Carnation
Prompt : #1190 จากคุณ ปากกาหมึกซึมสีน้ำเงิน
Pairing: อี้ชิง / ชานยอล หรือจะ ชานยอล / อี้ชิง ก็ได้
Summary: ทนายหนุ่มไฟแรง ผู้ลี้ภัยทางการเมือง คาร์เนชั่นสีเขียว และไอศกรีมเชอร์เบ็ตรสมะนาว
Author Note(s): ขออภัย ถ้าหากเราตีความหมายของดอกคาร์ชั่นสีเขียวผิดไปจากเจตนาของคุณเจ้าของพล็อตนะคะ





         ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เรื่องราวของเราหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของไอศกรีมเชอร์เบ็ตรสมะนาว ...


            ปาร์คชานยอลไม่ชอบกินของหวาน แต่เขาชอบไอศกรีมเป็นชีวิตจิตใจ ...


            แต่จางอี้ชิงกลับเป็นคนไม่กินของหวานเลยแม้แต่น้อย ...


            ดังนั้น ไอศกรีมรสเปรี้ยวจี๊ดอมหวานแค่นิดเดียวจึงกลายมาเป็นทางเลือกของเราสองคนในที่สุด


            พูดถึงเรื่องของเรา ...


ในมุมของเขา ไอศกรีมเชอร์เบ็ตรสมะนาวดูไม่น่าจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องของเราสองคนได้เลย เพราะมันทั้งไม่เปรี้ยวและไม่หวาน แต่กลับเต็มไปด้วยรสขมของสถานะทางสังคมที่เราทั้งคู่ต้องแบกรับเอาไว้เสียมากกว่า


            ปาร์คชานยอลเป็นทนาย ... ใครๆพูดถึงเขาก็ต้องพ่วงคำว่าอนาคตไกล ไปให้ด้วย


            ส่วนจางอี้ชิงเป็นอดีตนักการทูตซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในสังคมใหม่


            เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ... ไอศกรีมเชอร์เบ็ตรสมะนาวเข้ามามีบทบาทในตอนที่เราทั้งคู่เริ่มคบหากัน แต่ก่อนหน้านั้น ในตอนที่เพิ่งเห็นหน้า ทำความรู้จัก สิ่งที่ทำให้เจอกันก็คือ


            ดอกคาร์เนชั่นสีเขียวและออสการ์ ไวลด์


          อัจฉริยะแห่งโลกวรรณกรรรม


          ครั้งแรกที่เราเจอกัน ...


            ชานยอลจำได้ว่าเขาไปร่วมงาน คนรักออสการ์ ไวลด์ ในบ่ายวันอาทิตย์เมื่อฤดูร้อนปี 2012 ... นักเขียน นักการละครชาวไอริชผู้โด่งดังและสุดจะอื้อฉาวในยุควิกตอเรียนอันเคร่งขรึม แน่นอนว่ามันไม่ใช่งานคนรักหนังสือธรรมดา แต่มันมีความพิเศษมากกว่านั้น เพราะมันเป็นงานที่ถูกจัดขึ้นเพื่อรวมชาวรักร่วมเพศงานใหญ่ที่สุดงานหนึ่งแห่งปีอย่างลับๆ


            ในงานถือได้ว่าเป็นงานปาร์ตี้ สังสรรค์ก็ยังได้ มีหนังสือและสื่อหลายประเภทให้ได้เลือกซื้อ และยังมีการแสดงรูปถ่ายต่างๆอีกด้วย ในงานวันนั้นทุกคนแต่งตัวสวยงาม แตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะแตกต่างอย่างไร บนอกด้านซ้าย จะชาย หญิงหรือเพศทางเลือกต่างก็ติดเข็มกลัดดอกคาร์เนชั่นสีเขียวด้วยกันทุกคน


            ซึ่งถ้าหากใครที่ได้อ่านประวัติของออสการ์ ไวลด์จะเข้าใจว่าทำไม ...


ไวลด์มีรสนิยมทางเพศแบบชายรักชาย ลองคิดภาพดูสิ ยุควิกตอเรียนในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีชายคนหนึ่งได้ท้าทายความเชื่อหัวโบราณผ่านงานเขียนของเขา การไว้ผมยาวแบบศิลปินและการติดดอกคาร์เนชั่นสีเขียวที่ปกเสื้อสูทจนต่อมามันกลายเป็นดอกไม้แทนความรักต้องห้ามที่ฝืนกฎแห่งธรรมชาติ


            ออสการ์ ไวลด์กลายมาเป็นที่จดจำแต่ในขณะเดียวกันก็ถูกรังเกียจจากสังคมหัวโบราณที่ว่า แต่จะว่าไป ชานยอลไม่คิดว่าคนอย่างไวลด์จะสนใจหรอก เพราะในตอนนั้น เจ้าตัวกำลังโด่งดังจนถึงขีดสุด แต่ท้ายที่สุดแล้วชื่อเสียงอาจจะเทียบไม่ได้กับความสะใจในความรู้สึกที่งานเขียนบทละครเสียดสีกลุ่มคนชั้นสูงได้รับความนิยมอย่างถล่มทะลาย


            ไม่ว่าออสการ์ ไวลด์จะสูญเสียอะไรไปกับการเลือกเดินเส้นทางนี้ แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวทำสำเร็จ เพราะไวลด์ทำให้สังคมตอนนั้นได้รับรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับกรอบเก่าที่คนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้กำหนดแต่อย่างใด


            และด้วยความสัตย์จริง ...


ปาร์คชานยอลไม่คิดว่าจะพบเจอคนอย่างจางอี้ชิงในงานนั้นเลยสักนิด


แต่เราก็พบกัน ... ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอึดอัดเลยก็ว่าได้


ในตอนนั้น ชานยอลจำได้ว่า เขาได้นำรูปถ่ายรูปหนึ่งที่ได้มาจากเมื่อครั้งไปเที่ยวประเทศจีน ไปร่วมจัดแสดงด้วย ผู้คนต่างให้ความสนใจเพราะมันคือรูปของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอ่านนิยายเกี่ยวกับรักร่วมเพศสุดอื้อฉาวที่ได้ตีพิมพ์เพียงเรื่องเดียวของไวลด์อย่าง The picture of Dorian Gray อย่างตั้งใจ ในรูปแทบไม่เห็นเสี้ยวหน้าของเด็กคนนั้น เห็นแต่ปลายจมูกโด่งและลักยิ้มบนผิวขาวสะอาด


มันไม่ได้เป็นรูปที่พิเศษอะไรมากมาย เป็นรูปถ่ายตอนเผลอๆของเด็กคนหนึ่ง แถมยังเก่าเสียจนขอบเหลือง เขาไม่รู้ว่ามันผ่านเวลามานานเท่าไหร่ อาจจะสิบหรือยี่สิบปี แต่ตอนที่เห็นครั้งแรกนั้น ชานยอลตัดสินใจซื้อมันในทันที


... บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งเล็กๆที่เขาทำให้ตัวเองได้


ร่างสูงเดินเรื่อยๆ เขาก้าวมาหยุดตรงหน้ารูปถ่ายที่กำลังจัดแสดงอยู่ของตัวเอง ราวกับหนังม้วนเดิม ชานยอลจ้องมองมัน มองด้วยความหลงใหล มองเหมือนถูกมนตร์สะกด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจึงได้รู้สึกแปลกๆกับรูปนี้นัก


ปาร์คชานยอล?”


น้ำเสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นก่อนเสียงฝีเท้าจะดังตามมา ทำให้ชานยอลต้องหันกลับไปมองคนพูดในทันที ก่อนจะพบว่าดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายจ้องมองตรงมาอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายที่เขาพูดถึงคือชายหนุ่มรูปร่างสมส่วน ผิวขาวจัดโดดเด่นแต่กลับมีดวงตาสีดำสนิทล้ำลึกตัดกันอย่างมีเสน่ห์ ชายหนุ่มที่ว่า ... วันนี้เขาใส่สูทสีขาวหมดจด ผ้ามันวับไปทั้งตัว สะอาดสะอ้านแต่ก็น่าแปลกที่ดูทรงพลังไม่ต่างจากสีดำเลยสักนิด


 ครับ?”


คุณคือปาร์คชานยอล เจ้าของรูปนี้ใช่ไหมชายหนุ่มแปลกหน้าถามอีกครั้ง


ครับ ...


ยืนเงียบกันไปพักหนึ่ง แล้วน้ำเสียงนุ่มทุ้มติดเรียบๆคล้ายกับกำลังออกคำสั่งก็ดังขึ้นในที่สุด งั้นก็ดี ถอดรูปนี้ออกจากงานจัดแสดงซะ


ชานยอลแทบจะอ้าปากค้าง ...


เขาเลื่อนสายตามองคนแปลกหน้าอย่างถี่ถ้วนอีกรอบก่อนจะพบว่าชายหนุ่มสูทขาวไม่แม้จะหลบตาแต่อย่างใด ยืนยันคำพูดของตัวเองอย่างหนักแน่นโดยการยืนนิ่ง จ้องตรงมา สองมือล้วงกระเป๋าตัวเองอยู่เงียบๆ ในช่วงเวลาสั้นๆระหว่างอึ้งอยู่อย่างนั้น ชานยอลสังเกตเห็นเพียง ชื่อของชายหนุ่มแปลกหน้าบนบัตรผ่านคล้องคอและไม่มีดอกคาร์เนชั่นสีเขียวบนอกเสื้อสูทสีขาว


จางอี้ชิง ...


แล้วทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกด้วยเขาถามกลับ


แล้วทำไมคุณถึงอยากเอามันมาโชว์ล่ะ รูปนี้เก่าแล้ว เหตุการณ์นี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว หลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คุณรู้รึไม่ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”


แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยครับ


คราวนี้อี้ชิงเลิกคิ้วราวกับจะตั้งคำถาม


คุณไม่รู้สินะ ... หลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คนในหมู่บ้านของเด็กคนนี้ก็ถูกล่าแม่มด ใครที่ถูกสงสัยว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ ถูกจับมาทารุณให้ยอมรับสารภาพอย่างโหดเหี้ยม ถ้าคุณรู้อย่างนี้ คุณยังต้องการเอารูปที่เป็นต้นเหตุแห่งความตายมาจัดแสดงอีกงั้นหรือ?”


          “นี่คุณ!” ชานยอลเสียงดัง ทั้งเริ่มโกรธ ทั้งอายที่โดนคนแปลกหน้าตำหนิตรงๆเสียจนหน้าชา ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ ที่ผมเอารูปมาจัดแสดงก็เพราะ ... เพื่อให้คนที่ยังอยู่ ได้เห็นน่ะสิ


          อี้ชิงหัวเราะกับคำตอบของเขาในทันที ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นป้องปากก่อนจะส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ ใครกันล่ะ ที่ยังอยู่


          ชานยอลเริ่มหัวเสียขึ้นมาบ้าง ก็อาจจะเป็นคนในหมู่บ้านนั้นหรือเด็กในรูปก็ได้!”


          อี้ชิงยิ้มอีกครั้ง คราวนี้มันช่างสุกใส เต็มไปด้วยความขบขันอย่างแท้จริง ดวงตาสีดำสนิทเต้นระริกก่อนรอยยิ้มจะกดลึกจนเห็นลักยิ้มบนใบหน้าขาวจัดของชายหนุ่มทั้งสองข้าง ... และในวินาทีสั้นๆที่มองกัน ลักยิ้มทั้งสองข้างนั้นก็ทำให้ชานยอลขนลุกขึ้นมาในทันทีเพราะมันเหมือนกับรอยยิ้มแต้มรอยบุ๋มของเด็กวัยรุ่นในรูปแบบไม่มีผิดเพี้ยน


            ชานยอล ... คุณนี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการล่าแม่มดเลยสินะ


          แล้วชายในชุดสูทขาวก็เดินจากไป ... ทิ้งให้ปาร์คชานยอลยืนค้างอยู่อย่างนั้น



            ส่วนครั้งที่สองที่เราเจอกัน


ก็เพราะมีเบอร์โทรปริศนาติดต่อเข้ามาขอซื้อรูปเจ้าปัญหา ชานยอลรู้ได้ในทันทีว่าเป็นจางอี้ชิงอย่างแน่นอน เรานัดเจอกันในคาเฟ่ใกล้ๆสำนักทนายความของเขา วันนี้อี้ชิงใส่สูทสีเทาเข้มพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสองสามคน


โอ้ ... ตอนนั้น เขานึกว่า ตัวเองเผลอไปเหยียบเท้าเจ้าพ่อเข้าให้แล้ว พูดตามตรง ชานยอลอยากจะโค้งขอโทษชายหนุ่มสักร้อยครั้ง แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นอีกแบบ ชานยอลได้เรียนรู้ว่าจางอี้ชิงช่างเต็มไปด้วยพรสวรรค์ด้านการพูดพร้อมภาพลักษณ์ปัญญาชนในแบบชนชั้นสูงอย่างแท้จริง แต่ละบทสนทนาเต็มไปด้วยไหวพริบ แต่ชีวิตของอี้ชิงมีจุดด่างเพียงจุดเดียวนั่นก็คือการที่เจ้าตัวต้องมาตั้งรกรากใหม่ภายในประเทศของเขาก็เพราะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง


            ครั้งที่สาม


เรานัดเจอกันในร้านอาหารเล็กๆแถวชานเมือง นั่งพูดคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อย ชานยอลขับรถยนต์ส่วนตัวมา อี้ชิงเองก็เช่นกัน แต่หลังจากอาหารมื้อหนักผ่านไป บนโต๊ะเล็กๆที่คั่นกลางระหว่างเราก็มีถ้วยไอศกรีมเชอร์เบ็ตรสมะนาวตั้งอยู่


ไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศหรือเพราะอะไร ใบหน้าขาวจัดก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนริมฝีปากของเราจะบรรจบกันในตอนที่พนักงานเดินหายไปหลังร้าน ก่อนกลับ อาจจะเป็นเพราะเมารักหรือเมาไอศกรีม ชานยอลก็ได้แต่พยักหน้าในตอนที่อี้ชิงกระซิบกระซาบอยู่แถวๆหลังใบหูว่าเจ้าตัวจะเป็นคนขับรถไปส่งเขาที่บ้านเอง ดวงตาก็ได้แต่มองบอดี้การ์ดของท่านอดีตนักการทูตขับรถของเขากลับไปให้


            ครั้งที่สี่


อี้ชิงเชิญเขาไปทานอาหารเย็นที่บ้าน เริ่มต้นด้วยสปาเกตตี้คนละจานกับซุปและไวน์แดงสองขวด แต่จบลงด้วยการที่เขานอนสบตากับเพดานในยกแรก ตัวสั่นกับสัมผัสที่ห่างหายไปนาน แต่ยกที่สอง ในตอนที่คิดว่าตัวเองคงจะไม่มีแรงเหลืออีกต่อไป เขาก็ได้เห็นอี้ชิงเป็นฝ่ายนอนสบตาทั้งกับเขาและเพดานบ้างในที่สุด


            และหลังจากตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ถึงแม้ที่นอนข้างกายจะว่างเปล่า แต่บนหมอนอีกใบกลับมีดอกคาร์เนชั่นสีเขียวสดวางอยู่พร้อมกับกระดาษโน๊ตใบเล็กๆเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยว่า เจ้าของมันมีธุระด่วนต้องรีบไปจัดการ แต่กลับกำชับนักหนาให้ชานยอลอยู่รอกินมื้อสายด้วยกัน


ส่วนครั้งที่สี่ ที่ห้า ที่หก หรือจะที่เจ็ด ที่แปด มันช่างเลือนราง ...


เพราะทั้งเขาและอี้ชิงต่างก็ใช้อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน เป็นแบบนี้มาจะสี่ปีอยู่แล้ว


            แต่คืนนี้เขาว่าจะชวนอี้ชิงอ่าน  The picture of Dorian Gray อีกสักรอบ


            ขนาดตัว ออสการ์ ไวลด์ ผู้เขียนยังเคยกล่าวถึงผลงานสุดอื้อฉาวของตัวเองเอาไว้ว่า หนังสือที่คนทั้งโลกเรียกว่าหนังสือที่ไร้จริยธรรมนั้น แท้จริงแล้วเป็นหนังสือที่แสดงให้คนทั้งโลกเห็นถึงความอัปยศของพวกเขาเอง


          หลังจากเขียนหนังสือเล่มนั้น ออสการ์ ไวลด์ ถูกตัดสินจำคุกและพร้อมทั้งใช้แรงงานอย่างหนัก เนื่องจากถูกฟ้องในข้อหากระทำการสังวาสอย่างผิดธรรมชาติหรือถ้าพูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆก็คือ เป็นพวกรักร่วมเพศ ในสมัยนั้นถือว่าผิดกฎหมาย – อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือกฎหมู่ของสังคมก็ตาม


 ... ชานยอลถอนหายใจ


            เขาย้อนคิดมาถึงตัวเอง จริงอยู่ ที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่รากฐานทางความคิดของคนในสังคมซึ่งถูกปลูกฝังต่อๆกันมา มันจะเปลี่ยนได้จริงหรือ? ใจเขา อยู่กับอี้ชิง เขารู้ เจ้าตัวก็รู้ แล้วคนอื่นจะรู้ด้วยหรือไม่ ในเมื่อภาพในจินตนาการของคนรอบข้างมองเห็นปาร์ค ชานยอลกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง


            หรือถ้าหากไม่ใช่ผู้หญิง ...


            ก็คงเป็นเด็กหนุ่มที่พร้อมจะผลักดันอาชีพทนายของเขาให้เจริญก้าวหน้า ไม่ใช่ผู้ชายแบบจาง อี้ชิง ผู้ซึ่งมีรอยด่างพร้อยดวงใหญ่อยู่ในประวัติชีวิต ชานยอลเป็นทนาย โอ้ ... และเขารู้ดีเชียวล่ะ ต่อให้อี้ชิงมีอำนาจล้นฟ้าติดตามมาจากที่ๆชายหนุ่มจากมา แต่การอยู่อย่างผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอื่น มันก็ไม่ต่างอะไรกับประชากรชั้นที่สองหรอก


            ก็เหมือนโดนริบ สิทธิ เสรีภาพ ความชอบธรรมและเกียรติยศ ศักดิ์ศรีไปครึ่งหนึ่ง ...


            และช่วยไม่ได้จริงๆที่ชานยอลนึกสงสัย ตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิต หน้าที่การงานของเขา ชานยอลสงสัยว่าเขาจะกลายเป็น ออสการ์ ไวลด์ คนต่อไป ตัวเขาจะมีจุดจบเหมือนกับนักเขียนคนโปรดด้วยหรือไม่


          ถ้าหากเรื่องของเขากับอี้ชิงถูกเผยแพร่ออกไป


          สังคมในปี 2016 ...


            จะตัดสินเรื่องราวของเราอย่างไร ?
           






           

The end



----------------------------------------

#exoficfest


GUESS WHO?
รู้ไหมว่าใครเขียน








ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

© LUCKY ONE FIC FEST
Maira Gall