Woody Hero
Prompt : #503 จากคุณ CB. @ffon27
Pairing : Baekhyun / Chanyeol
Summary : เป็นพ่อเลี้ยงปางไม้กับคุณหนูจอมดื้อรั้น
(55555555555555) พ่อเลี้ยงเป็นลุคส์สุขุม เฉยชา
มีอคติกับเรื่องความรัก (แต่ก็มีมุมน่ารักบ้าง) ส่วนคุณหนูเป็นลุคส์กวนตีน มึนๆ
หนีคู่หมั้นจอมกะล่อนมาอยู่บ้านพ่อเลี้ยง (พ่อเลี้ยงเป็นลูกชายเพื่อนแม่)
Author :Oharha
Author(s)’s Note : เหมือนย่อละครทั้งเรื่องให้เป็นเรื่องสั้นเรื่องเดียว
ปาร์คชานยอลก็แค่ลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านคนหนึ่ง
หลังเรียนจบคณะบริหารจากมหาวิทยาลัยเอกชนด้วยเกรดเฉลี่ยที่ผ่านเฉียดฉิว
เขาก็ใช้ชีวิตอิเลื่อยเฉื่อยแฉะ เฝ้าคอยปาร์ตี้เมื่อเพื่อนในกลุ่มหางานทำได้
ขับรถแพงหูฉี่ร่อนไปทั่วโซลเพียงเพราะไม่มีอะไรทำ ทั้งหมดทั้งมวลนี้
ชานยอลไม่เคยยี่หระขี้ปากของใครหน้าไหนทั้งสิ้น บ้านของเขาเป็นมหาเศรษฐี
และเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปตกระกำลำบากที่ไหนเพียงเพราะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำ
แล้วความอดทนของมารดาก็ขาดผึง
หล่อนทนลูกชายไม่เอาไหนไม่ได้อีกต่อไป หลังการเบี้ยวนัดดูตัวว่าที่คู่หมั้นครั้งล่าสุด
เช้าวันรุ่งขึ้น ชานยอลตื่นมาพบตัวเองถูกมัดมือเท้า จับนอนตะแคงอยู่บนเบาะหลังรถตู้
แล้วเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของหญิงที่นั่งข้างหน้าก็ช่างคุ้นหู อ้อ แม่บังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง
“แอ้! แอ้!!!”
(แม่! แม่!!!)
หล่อนปล่อยเขาเมื่อยขบในท่าพิลึกพิลั่นถึงสี่ชั่วโมง
สี่ชั่วโมงจากเมืองหลวงที่รายล้อมด้วยตึกสูงกลายเป็นดงต้นไม้ใหญ่ มองจากมุมที่นอนอยู่
ชานยอลเห็นแค่ยอดไม้รายทางกับฟ้ากระจ่างสดใส ต่อเวลาไปอีกราวสามสิบนาที รถตู้สีบลอนด์ก็จอดบนพื้นคอนกรีตสายเล็กเทียบหน้าบ้านของใครคนหนึ่ง
ชานยอลร้องโอดโอยแต่มีแค่เสียงอู้อี้หลุดออกมา ร่างของเขากลิ้งหลุนไปบนพื้น
ปากถูกมัดด้วยผ้าเพื่ออุดเสียงไว้ หากสายตาก็มองเห็นเคหะสถานทำจากไม้หลังใหญ่ ทุ่งไกลสุดลูกหูลูกตา
ให้อารมณ์คันทรีเหมือนหลุดออกมาจากหนังฝรั่งก็ไม่ปาน
"แอ้!
อ่อยอ๋มอ๊ะ” (แม่! ปล่อยผมนะ)
เขาร้อง
จินตนาการภาพเจ้าของบ้านเป็นมาเฟียไกลปืนเที่ยงใจโหด แต่นอกจากมารดาจะไม่สนใจแล้ว
ยังยิ้มหวานรับใครบางคนที่ก้าวอาดๆ ออกมาจากตัวบ้าน
นั่นเป็นครั้งแรกที่ปาร์คชานยอลได้เจอกับ
พ่อเลี้ยงบยอนแบคฮยอน
อีกฝ่ายเป็นผู้ชายรูปร่างเล็ก
(อาจจะมาตรฐาน แต่ถ้าเตี้ยกว่าชานยอลก็ถือว่าเล็กหมด) หุ่นสมส่วน สวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตทับด้วยกางเกงสียีนส์ดิบ
นาฬิกาหนังที่ข้อมือขวาเด่นชัดเมื่อมือถูกแม่ของเขาคว้าไปกุมเอาไว้ ดวงตาเรียวเล็กแฝงไปด้วยพลัง
และหางตาที่ตกลงก็ช่างดูทะเล้นต่างจากกิริยาสุขุมที่เจ้าของแสดงออกเหลือเกิน
แล้วดูชานยอลสิ...
สภาพเขาดูไม่ได้เลย
“ฝากด้วยนะจ๊ะแบคฮยอน
ดัดนิสัยเจ้าเด็กดื้อนี่เสียให้เข็ด”
เจ้าของชื่อหัวเราะรับคำแม่เขาตามมารยาท
มองดูรถตู้เคลื่อนตัวออกไป ทิ้งไว้เพียงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สภาพน่าสมเพชเอาไว้หนึ่งหน่อ
เจ้าบ้านถอนหายใจ สั่งให้ลูกน้องข้างกายแกะเชือกออกให้ชานยอลซึ่งกำลังครางหงิงอย่างกับหมาเจ็บ
“โธ่เว้ย!”
ปาร์คชานยอลสบถหลังจากเป็นอิสระ
ลุกขึ้นยืนงุ่นง่านก่อนจะล้วงหาโทรศัพท์มือถือทั่วตัวแต่ไม่เจอ “คุณ -- เอ้อ
ช่างเถอะ แต่ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิครับ”
คนในชุดเสื้อลายสก๊อตกอดอก
เลิกคิ้วมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่มี”
“หา?”
ชานยอลขมวดคิ้วมุ่น
ก้มลงมองชุดนอนกางเกงวอร์มและเท้าเปล่าของตัวเองแล้วก็ลุกลี้ลุกลน
“นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนหรืออย่างไร ทำไมถึงไม่มีโทรศัพท์ ผมต้องโทรหาแม่
นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรสักอย่างแน่ๆ”
แบคฮยอนยังมองตอบเขานิ่ง
นิ่งจนน่ากลัวทีเดียวเมื่อริมฝีปากนั้นขยับเป็นคำพูดที่ทำเอาชานยอลขนลุกไปทั้งทรวง
“คุณมีทางเลือกทั้งหมดสองทาง
ระหว่างอยู่ทำงานให้ผมที่นี่”
“...”
“หรือว่าจะกลับไปแต่งงาน”
และคนพูดก็ไม่ได้คิดจะรอคำตอบ
แบคฮยอนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยเขากระโดดโหยงเหยงเพราะเพิ่งสังเกตว่าตัวเองเกือบจะเหยียบรังมดแดงเข้าให้
“คุณ
แล้วข้าวผมล่ะ”
ปาร์คชานยอลยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อตอนเช้า
มองดูอาหารหนึ่งชุดถูกนำมาเสิร์ฟคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ท้องของเขาร้องโครกคราก
รออยู่เกือบห้านาทีบนโต๊ะตรงหน้าก็ยังว่างเปล่า
เขาเริ่มไม่พอใจ
อ้าปากทำท่าจะโวยอีกรอบ แต่ก็เห็นแม่ครัวเดินมาพร้อมอาหารที่จานเล็กกว่า โอ
ชานยอลเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเล็กใหญ่ต่างกันอย่างไร เขาดีใจเพราะหิวไส้แทบขาด
ทว่าหล่อนก็ดับฝันนั้นด้วยการวางมันลงบนหัวโต๊ะเข้ามุมกับที่นั่งของแบคฮยอน คนมองได้แต่อ้าปากค้าง
มือที่กำลมแทนช้อนส้อมสั่นระริกแข่งกับกระเพาะซึ่งร้องครืน
ทันทีทันใด
เด็กหญิงคนหนึ่งก็วิ่งกระโดกกระเดกออกมา กระโดดขึ้นตักพ่อเลี้ยงบยอน หอมแก้มกันฟอดใหญ่ก่อนจะผละไปไปนั่งบนเก้าอี้หน้าจานข้าวเล็กของตัวเอง
ซ้ำยังมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายระยับ
“ปะป๊าขา
คนแปลกหน้านี่ใครหรือคะ”
“เขาชื่อปาร์คชานยอล
จะมาทำงานชั่วคราวที่ปางไม้ของเราค่ะโบยอง”
เด็กน้อยกะพริบตาปริบ
ชานยอลก็เช่นกัน ทำงานชั่วคราวบ้าบออะไร ถึงนี่จะเป็นการลงโทษ
แต่เขาก็ยังถือเป็นแขกของที่นี่อยู่ดี
"จะไม่มีการทำงานอะไรทั้งนั้นแหละ
ผมหิว ผมต้องการข้าวกลางวันของผมเดี๋ยวนี้” หนุ่มตัวสูงว่าเสียงแข็ง แต่แบคฮยอนก็แค่เคี้ยวตุ้ยๆ
รอนานถึงสองคำกว่าเขาจะได้คำตอบที่ไม่ทำให้หงุดหงิดน้อยลงกว่าเดิมแม้แต่น้อย
“ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจระบบของที่นี่ก่อน
คุณปาร์คชานยอล อาหารบนโต๊ะนี้เตรียมสำหรับผมและลูก
ของคนครัวก็แบ่งเป็นอีกสำรับหนึ่ง
นอกจากนั้นก็เป็นอาหารที่เตรียมไว้สำหรับพวกคนงาน”
พ่อเลี้ยงบยอนรวบช้อน
“ส่วนคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ที่นี่ไม่มีคนประเภทนั้น เราจึงไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้”
แขกเพียงคนเดียวในสถานที่ไกลปืนเที่ยงถึงกับคิ้วกระตุก
ชานยอลลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้เลื่อนถอยหลังเสียงดัง แกล้งไม่เห็นเด็กหญิงที่มองเขาตาแป๋ว
ทุกคนที่นี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าปาร์คชานยอลกำลังหิวแทบขาดใจเพียงเพราะเจ้านายสั่ง ถ้านี่เป็นเกมที่แม่เขาสั่งให้สร้าง
ชานยอลก็จะไม่ยอมแพ้ เขาสามารถเอาชนะความหิวได้ด้วยอะไรอีกมากมาย เชื่อเถอะ
เชื่อเถอะว่าเขาไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง
ในตอนที่ตื่นมาตอนหัวค่ำเพราะท้องร้องโครกคราก
ดวงตากลมโตลืมขึ้นมองเพดานห้องใต้หลังคาที่เตี้ยจนแทบยืนเต็มความสูงไม่ได้
เขาพยายามจะข่มตาหลับ พลิกตัวไปมามากกว่าสิบครั้งแต่ความทุรนทุรายจากการไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าก็ทรมานชายหนุ่มให้อยู่ไม่สุข
เอาเป็นว่าเขายอมแพ้สำหรับวันนี้ก่อน
แต่หลังจากนี้จะต้องมีทางให้เอาคืนอีกมากอย่างแน่นอน
คนในชุดนอนเดียวกับคืนที่ผ่านมาเดินอาดๆ
ลงมาตามบันได ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสองพ่อลูกที่ดูรายการโทรทัศน์กันอยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น
หนุ่มตัวสูงถูจมูก สูดลมหายใจลึก ก่อนจะเดินไปหยุดยืนบังหน้าโทรทัศน์ พวงแก้มปรากฏริ้วแดง
เก้อเขินเมื่อจะต้องพูดความต้องการออกไปในเมื่อทำเสียมารยาทไปเมื่อกลางวัน
“งานที่คุณต้องการให้ผมทำ
ผมจะทำมันก็ได้”
ได้ยินแค่นั้นบยอนแบคฮยอนก็อมยิ้ม
ผุดลุกจากการนั่งกอดลูกสาว ก่อนจะเดินนำเขาเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาอาหารในตู้เย็นออกมาอุ่นด้วยไมโครเวฟ
ชานยอลไม่เคยต้องกินอาหารเก่า แล้วเขาก็ไม่เคยคิดอีกว่าต้มจืดสุดแสนธรรมดาจะอร่อยถึงเพียงนี้
ไม่มีคำขอบคุณใดหลุดออกจากปากที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าว เพราะคำขอบคุณที่แท้จริงจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
วันที่ชานยอลยกให้เป็นจุดเริ่มต้นของนรกบนดิน
หนุ่มเมืองโซลหน้าเจื่อน
นึกอยากจะหนีไปอาเจียนตั้งแต่ลมหายใจแรกที่สูดกลิ่นมูลม้าเข้าไป คนงานที่ทำงานดูแลคอกม้าหกตัวอยู่ประจำวันนี้ได้งานสบายเป็นพิเศษ
หนุ่มใหญ่หัวเราะจนไหล่สั่น มองลูกคุณหนูที่ใช้ปลายนิ้วเก็บมูลมาสามชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่เสร็จของม้าหนึ่งตัว
ปาร์คชานยอลเอาแต่ส่งเสียงโอ้กอ้าก กระโดดหลบหางม้าที่มักจะเหวี่ยงไปทางนั้นทางนี้ทีเมื่อมันขยับตัว
นี่ขนาดแค่วันแรก ถ้าบยอนแบคฮยอนมีแผนแกล้งเขาในวันต่อๆ ไปอีก
เชื่อเถอะว่าแม่คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกคนนี้เป็นครั้งที่สอง
“นรกอะไรกันวะ”
เขาบ่นปอดแปด ทันทีที่คนดูแลคอกม้าได้ยินก็หัวเราะร่วน
“ที่นี่ไม่ใช่นรกหรอกคุณ
ถ้าเป็นงานในปางไม้ล่ะหนักกว่านี้หลายเท่า”
ชานยอลกลอกตา
นึกไม่ออกว่าหนักกว่านี้นี่ระดับไหน เอาจริงๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปางไม้ที่ว่าทำอะไรกันบ้าง
“ทำไม เขาให้พวกคุณแบกต้นไม้หรืออย่างไร”
หนุ่มใหญ่หัวเราะไม่หยุด
ทั้งยังเสียดังกว่าเมื่อครู่ขณะที่เดินเข้ามาเท้าศอกกับรั้ว ลูบหัวม้าสีดำที่รังแต่จะฟาดหางใส่หน้าเขาพลางๆ
ปากก็เปิดเล่าถึงคุณงามความดีของเจ้านายใหญ่ที่นี่ “จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่เราใช้รถขนต้นไม้ที่ล้มแล้วต่างหาก
นำไปแปรรูปเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่พวกคุณๆ ใช้กันนี่แหละ”
เขายังเก็บมูลม้าไปด้วย
ขนาดมีถุงพลาสติกครอบมือไว้อีกที ชานยอลก็ยังว่ามันน่าขยะแขยงสิ้นดี
หูเขาก็เงี่ยฟังไปด้วย อยากรู้ว่าที่นี่ทำธุรกิจใดกันแน่ พวกคนงานถึงได้นับหน้าถือตาพ่อเลี้ยงคนเก่งนัก
“ค่าตัดไม้ที่ต้องจ่ายให้ทางการน่ะมันแพงมากเลยคุณ
ชาวบ้านทำกันเองก็ไม่ค่อยรวยหรอก จะไปหวังพึ่งพวกนายทุนก็เงินเข้ากระเป๋าคนรวยหมด เราเลยนิยมทำปางไม้เถื่อน
จนพ่อเลี้ยงเข้ามาซื้อที่ ทำทั้งหมดเสียใหม่ให้ถูกกฎหมายและช่วยให้พวกเรามีกินมีใช้
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าปีๆ หนึ่งแกมีกำไรเท่าไร ว่าคนงานเหนื่อย แต่ผมรู้ว่าพ่อเลี้ยงเหนื่อยกว่าเราหลายเท่า”
วันที่สอง
ปาร์คชานยอลได้รู้เหตุผลที่พ่อเลี้ยงบยอนกุมหัวใจและความภักดีของคนที่นี่ไว้ได้อยู่หมัด
เขากินข้าวอร่อยขึ้นในแต่ละวันเมื่อต้องทำงานจนเหนื่อย
บ้างก็ได้เข้าไปในปางไม้กับพวกคนงาน กว่าต้นไม้ใหญ่จะถูกโค่นสำเร็จในแต่ละต้นก็ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมง
วันๆ หนึ่งก็ใช่ว่าจะล้มไม้จนหมดป่า เมื่อเต็มรถหนึ่งคันพวกเขาก็กลับ
ให้พ่อเลี้ยงตรวจเช็กสภาพไม้ก่อนจะเข้าสู่ตลาดค้าไม้ต่อไปตามขั้นตอน
ชานยอลเจ็บก้นนิดหน่อยเพราะนั่งแล้วถูกไม้ทิ่ม
ชายหนุ่มจึงยืนโซซัดโซเซบนรถ อาศัยจับเอาราวเหล็กด้านหลังเป็นหลักยึดขณะที่รถบรรทุกแล่นขรุขระบนทางดินเพื่อออกจากป่า
จากนี้ต้องใช้เวลาเดินทางอีกราวครึ่งชั่วโมง ทั้งลูกคุณหนูอย่างเขายังได้รู้อีกว่านอกจากธุรกิจปางไม้ถูกกฎหมายแล้ว
บยอนแบคฮยอนยังมีฟาร์มพืชผลอีกหลายร้อยไร่
“แล้วภรรยาพ่อเลี้ยงเขาไปไหนแล้วล่ะครับ”
เขาเปิดปากถามหลังจากข้องใจมาเป็นสัปดาห์ ลูกสาวก็น่ารักออกปานนั้น ถึงจะแสบไปหน่อยแต่ว่าเป็นเด็กที่คุยรู้เรื่อง
แล้วก็น่ารำคาญน้อยกว่าลูกพี่ลูกน้องหรือหลานหลายคนของเขาเสียอีก
“โอ้
ได้ยินว่าเมียพ่อเลี้ยงแกเสียตั้งแต่คลอดหนูโบยองแล้ว”
เขาได้เรียนวิชาบยอนศึกษาวันละนิดละน้อย
จนรู้ตัวอีกที ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึมและการกลั่นแกล้งให้ทำงานหนัก
ชานยอลก็ได้รู้ว่ามีอะไรอีกมาก -- มากทีเดียวที่เขาไม่รังเกียจจะศึกษามันต่อไป
“วันนี้ผมต้องทำอะไร”
คนงานใหม่ของปางไม้บยอนเริ่มชินกับการตื่นเช้า
ชินกับการที่จะเดินลงมาเจอแบคฮยอนกำลังอ่านหนังสือพิมพ์และป้อนคำสั่งใหม่ให้เขาทุกๆ
วัน ได้ข่าวว่าช่วงนี้โบยองต้องไปเรียนพิเศษ บ้านทั้งหลังจะครึกครื้นอีกทีก็เป็นตอนเย็นที่เด็กหญิงกลับมาแล้วทำเสียงเจี๊ยวจ๊าววิ่งออดอ้อนทุกคน
ชายหนุ่มตัวสูงทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
บนโต๊ะกินข้าวเดียวกันกับอีกคนที่จิบกาแฟชงกึ่งสำเร็จรูปง่ายๆ ในแก้วกระเบื้อง ยิ่งเมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่ลดระดับลง
เผยให้เห็นแววตาราบเรียบที่ก้มลงมองตัวหนังสือเล็กๆ โดยไม่มองเขา โดยมาทันรู้ตัวครั้งที่ร้อย
ชานยอลไม่โมโหมันอีกต่อไป
“วันนี้ผมให้เป็นวันหยุดของคุณ”
ทั้งคู่คุยกันแทบนับคำได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีโอกาสได้มองหน้ากันมากกว่าคนอื่น เรียนรู้เรื่องราวของกันและกันโดยที่ไม่เปิดปากถามตรงๆ
ไปทีละน้อย ชานยอลเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในระยะเวลาสั้นๆ
และเขาก็เห็นแบคฮยอนที่เริ่มทำตัวตามธรรมชาติ ไม่หางานแย่ๆ มากลั่นแกล้ง
รวมถึงการให้วันหยุดสัปดาห์ละครั้งโดยไม่บอกล่วงหน้าเพื่อจะให้ชานยอลหลับอุตุเท่าที่อยากทำ
ออกไปเดินเล่น หรือขอคนงานให้ขับรถพาไปกินของอร่อยๆ
ในตัวเมืองโดยมีข้อแม้ว่าขอให้กลับมาก่อนค่ำ
เพราะจะไม่มีใครอยู่เปิดประตูรั้วฟาร์มให้
“อยากทำอะไรล่ะวันนี้”
ชานยอลครุ่นคิด
ทุกอย่างที่ว่ามานั่นเขาได้ทำหมดแล้วในทุกวันหยุดที่ผ่านมา จะมีก็แต่อย่างหนึ่งที่สนใจ
แต่เพิ่งกล้าเปิดปากบอกก็วันนี้
“อยากให้คุณสอนผมขี่ม้า”
“...”
“ได้ไหมครับพ่อเลี้ยง”
กลายเป็นว่าในทุกหนึ่งสัปดาห์
ปาร์คชานยอลจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อเขาต้องคิดว่าอยากลองทำอะไรใหม่ๆ แบบไหนบ้าง
ตั้งแต่หัดขี่ม้า เรียนรู้เรื่องฟาร์ม ไปจนถึงการได้เข้าไปดูโรงแปรรูปไม้และผลผลิตจากเศษไม้ที่ชาวบ้านนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอย่างน่าเหลือเชื่อ
ชานยอลเคยคิดจะไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กับเพื่อนอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ไม่ต้องรอให้ถึงตอนนั้น
เขาก็เชื่อว่าการสูดอากาศบนยอดผาและมองทิวทัศน์ที่ไล่ตั้งแต่ป่าไม้สีเขียวไปจนถึงเมืองเล็กๆ
นั้นช่างเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว
ทั้งช่วงหลังมานี้ชานยอลแทบไม่ต้องขอให้คนงานคนไหนพาไปข้างนอกเลย
เพราะถ้าเลือกวันหยุดดีๆ (โดยการดักคอล่วงหน้า) ไม่ตรงกับวันที่แบคฮยอนจำเป็นต้องลงคุมงานหรือว่าเข้าเมือง
วันนั้นๆ ก็มักจะกลายเป็นวันสุดพิเศษ หรืออย่างน้อยที่คิดอะไรไม่ออก แบคฮยอนก็จะพาเขาไปขี่ม้าเล่นจนรอบด้วยม้าสีดำตัวโปรดของเจ้าตัว
หรือม้าสีน้ำตาลชื่อนัมจาซึ่งชานยอลแน่ใจว่าเขาสนิทกับมันเป็นที่เรียบร้อย
แต่วันนี้นัมจาพยศ
ดีดชานยอลตกจากหลังจนกระแทกกับพื้นหญ้าเสียร้าวไปทั้งตัว
“ชานยอล!”
แล้วปาร์คชานยอลก็คิดว่าเขากำลังเป็นบ้า...
ที่นอกจากจะไม่โกรธนัมจาแล้ว ยังขอบคุณมันเสียอีกที่ได้ทำให้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของพ่อเลี้ยงซึ่งวิ่งเข้ามาดูอาการเขาด้วยความร้อนใจ
หัวใจเจ้ากรรมเต้นผิดจังหวะ ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามเดือนของคนที่เคยไม่มีอะไรทำ
ความว่างเปล่าก็เริ่มจะเกิดการงอกเงยของความรู้สึกบางสิ่งบางอย่างเข้าให้แล้ว
“วันนี้อากาศร้อน
มันคงจะหงุดหงิด”
แบคฮยอนพูดขณะแวะมาทายาแก้ฟกช้ำให้เขาก่อนนอน
อันที่จริงพื้นหญ้านุ่มๆ ก็ไม่ได้ทำให้ชานยอลบาดเจ็บสักเท่าไร ตอนนี้เขาปวดพอๆ
กับตอนที่ออกกำลังกายหนัก แต่ทว่าหัวใจชุ่มชื่นยิ่งกว่าพายุหน้าฝนเมื่อได้เห็นคิ้วขมวดและริมฝีปากทรงเชิดของพ่อเลี้ยงใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก
อย่างน้อยผมก็ไม่ได้กระดูกหัก”
คนฟังเหยียดรอยยิ้มบาง
คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นเมื่อปลายนิ้วแกล้งกดย้ำลงไปบนชายโครงแรงๆ
จนคนเจ็บบนเตียงร้องซี้ด “ทีหลังนัมจาคงไม่ต้องออมมือกระมัง”
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
ปาร์คชานยอลก็นับไม่ได้ว่านอกจากรอยยิ้มหยันเหยียดเวลาได้แกล้งเขาแล้ว มีกี่ครั้งที่พ่อเลี้ยงจะยิ้มแบบที่เรียกว่ารอยยิ้มจริงๆ
บ้าง เขาไม่ใช่โบยอง ไม่ใช่แม้กระทั่งม้าตัวโปรดที่จะทำให้อีกฝ่ายพอใจได้
ชายหนุ่มก็แค่เด็กเมืองโซลจอมเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็น หนำซ้ำยังชอบกระเง้ากระงอดเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการจนเหมือนเด็ก
และตอนนี้ชานยอลก็อยากเป็นผู้ใหญ่
อยากเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีค่าพอจะสำคัญตัวว่าอยู่ในสายตาคนตรงหน้าบ้าง
บยอนแบคฮยอนชะงักค้างเมื่อมือของเขาที่ควรจะป้ายยาไปตามชายโครงกลับถูกคว้าเอาไว้หลวมๆ
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองหลุดยิ้ม แล้วก็จำต้องรับผลกรรมเมื่อคนเจ็บแย้มยิ้มตอบ
ส่งสายตาเป็นประกายวิบวับอย่างมีความหมายมาให้
“พ่อเลี้ยงเป็นห่วงผมหรือ”
“ห่วงซี”
คนถูกถามตอบเสียงเรียบ “ถ้ากลับไปแบบไม่ครบสามสิบสอง
ผมจะมีหน้าไปเจอแม่คุณได้อย่างไร”
ชานยอลอมยิ้มจนแก้มจะระเบิด
“ถ้าอย่างนั้นก็เลี้ยงผมที่นี่สิครับ ผมยินดีให้พ่อเลี้ยงใช้งานทุกอย่างเลย
ขอแค่ที่ซุกหัวนอน ข้าวทุกมื้อ แล้วก็... ความใส่ใจของพ่อเลี้ยงก็พอ”
ทว่าพอพูดไปอย่างนั้น
แบคฮยอนกลับเงียบจนเขาใจเสีย
พ่อเลี้ยงถอนหายใจเบาๆ
ดึงมือกลับไปจัดการเช็ดยาด้วยทิชชู่จนเกลี้ยง สีหน้าเครียดขึงคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
โอ ปาร์คชานยอลอาจหาเรื่องให้ตัวเองถูกส่งกลับตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้เสียกระมัง
หาเรื่องทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ความใกล้ชิดที่บรรจงสร้างจนได้อยู่ด้วยกันขนาดนี้พังครืนลงในพริบตา
“คุณ...”
แบคฮยอนทำท่าจะพูด แต่ก็เงียบลงด้วยสีหน้าลำบากใจอีก “ผมสู้อุตส่าห์อดทน
ไม่คิดอะไรแล้ว”
“ขอโทษครั
--”
“คุณทำเอาความตั้งใจผมสูญเปล่าหมดเลยชานยอล”
จากนั้น
บยอนแบคฮยอนก็จูบเขา จูบด้วยความตั้งใจที่ไม่ให้ปาร์คชานยอลตั้งตัว จูบด้วยการบดเบียดริมฝีปาก
ใช้มือเหม็นกลิ่นยาบีบสันกรามของเขา สอดแทรกปลายลิ้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดเอารสของแกงเมื่อมื้อเย็นไปจนหนำปาก
ร่างของชานยอลถูกเอนลง แผ่นหลังสัมผัสกับเบาะนุ่มๆ ของเตียงโดยลืมอาการปวดร้าวไปเสียสิ้น
“ดะ
-- เดี๋ยวก่อนพ่อเลี้ยง...”
หากแบคฮยอนไม่ฟัง
ปลดกระดุมเสื้อของเขาเร็วพอๆ กับตอนใช้มันเซ็นเอกสาร
“คุณน่ะมันโตแต่ตัว
คิดว่ามาทำให้ผมหมดความอดทนด้วยคำพูดแบบนั้นแล้วจะได้หลับฝันดีหรือไง”
“...”
“ทำไม
เห็นผมตัวเล็กแล้วคิดว่าจะไร้น้ำยาอย่างนั้นหรือ”
ปาร์คชานยอลกลืนน้ำลายดังเอื้อก
สบดวงตาสีเข้มที่กำลังมองเขาอย่างจริงจังกว่าครั้งไหนๆ
“ผมจะลงโทษเด็กดื้ออย่างคุณ
เอาให้หนักกว่าครั้งไหนๆ เลย”
อย่า
-- ดูถูกผู้ชายที่มีลูกเมียแล้ว
--------------------------------------------
#exoficfest
GUESS
WHO?
รู้ไหมว่าใครเขียน
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น