เรือนเล็ก
Prompt
: #1215 จากคุณ callmeaumz
Pairing
: Yixing (คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์) / Jongin (เจนต์)
Summary
: ย้อนยุค, บ้านเรือนไทย, คุณหลวง
Author
: ?
แต่เล็กจนโตเจนต์ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้หรือแม้แต่เรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อน
จนกระทั่งวันที่เขาควักเงินซื้อตะเกียงเจ้าพายุเก่าคร่ำครึซ้ำยังติดๆ ดับๆ
แม้ไม่มีลมมาจากร้านขายของเก่าแถววังหลัง
วันนั้นเขากลับบ้านมาพร้อมกับความสงสัยว่ายอมเสียเงินแปดร้อยบาทไปทำไมกับไอ้ของพรรคนี้
แต่สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็วางมันบนโต๊ะข้างเตียง
แล้ววิ่งหาเทียนกับไฟแช็กมาลองจุดมันดู และเมื่อเปลวไฟติดๆ ดับๆ อยู่หลายนาที
เจนต์ก็เริ่มถอดใจ เขาพ่นลมออกจมูกแรงๆ ด้วยความยอมแพ้ มือก็โยนไฟแช็กไปทาง
เทียนไขเล่มเล็กไปอีกทาง
ปล่อยให้ความมืดโรยอยู่รอบตัวแบบนั้น...จนกระทั่งผล็อยหลับไป
ในคืนนั้นเขาฝันประหลาด
หมอกควันมากมายปกคลุมตัวทว่าอากาศนั้นกลับอบอุ่นเหมือนฤดูร้อน
เจนต์มองอะไรไม่เห็นราวกับดวงตานั้นถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก
มันโอบล้อมรอบตัวแน่นขึ้น แน่นขึ้นทุกขณะจนในที่สุดก็แทบหายใจไม่ออก ร่างทั้งร่างกระตุกเกร็ง
ในเสี้ยววินาทีก่อนสติจะดับวูบเจนต์จินตนาการถึงใบหน้าพ่อกับแม่
กล่าวขอโทษพวกท่านซ้ำๆ ที่ยังไม่ทันได้ทดแทนบุญคุณก็ดันมาชิงตายไปเสียก่อน
น้ำหยดเล็กซึมจากหางตา
พลันความรู้สึกเหมือนลมหายใจตีบตันทั้งหมดก็สิ้นไปพร้อมกับการร่วงหล่นครั้งใหญ่ของจิตวิญญาณ
เจนต์ลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองนอนแผ่หราอยู่กลางหญ้าสีเขียวริมฝั่งคลอง
ขายาวปัดป่าย มือก็ลูบตามใบหน้าร่างกายอย่างงุนงง
หากนี่เป็นสวรรค์ก็คงเป็นสวรรค์ที่พิลึกน่าดู...
เขาคิดพลางเหลือบตามองหญิงแปลกหน้าในชุดไทยโบราณพายเรือท้องแบนลำเล็กผ่านไป
ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าพยายามรวบรวมสติเท่าที่เท่าได้
ที่นี่ที่ไหน เขามาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขากำลังจะขาดอากาศหายใจตายอย่างไร้สาเหตุหรอกหรือ
หรือว่านี่เป็นความฝัน...หรืออันที่จริงเขาตายไปแล้ว?
คำถามสารพันวิ่งวุ่นอยู่ในหัว เจนต์หันซ้ายขวา มองหาใครสักคนที่พอจะซักถามถึงความสงสัยได้
กวาดตามองไปทั่วอยู่ครู่หนึ่งก็พบหญิงร่างท้วมพันผ้าแถบสีแดงเข้ม
นุ่งโจงกระเบน เขาขมวดคิ้วอย่างฉงนที่สุด นี่ยุคไหนแล้วทำไมใส่ชุดโบราณแบบนี้กัน?
แต่เรื่องการแต่งกายยามนี้คงไม่สำคัญเท่าเขามาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร
เจนต์พับเก็บความสงสัยล่าสุดเอาไว้ในใจแล้ว
แล้วรีบตะโกนร้องเรียกสาวเจ้าที่กำลังหันหลังเดินไปอีกทาง
“คุณป้าครับ!” เขาร้องเรียก “ขอโทษครับ
คุณป้า!”
‘คุณป้า’
ที่เจนต์ร้องเรียกหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงโวกเวกจากด้านหลัง
เธอเกือบจะเอียงคอใส่ชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดไม่คุ้นตาไปแล้ว
หากขายาวคู่นั้นก้าวตรงมาทางเธออย่างรีบร้อน
แม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะดูแปลกหน้าแปลกตาแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย
กระนั้นพ่อหนุ่มคนนี้ก็ยังดู ‘ประหลาด’ สำหรับเธออยู่ดี
“คุณป้าครับ! อย่าเพิ่งไป
ผมขอถามอะไรหน่อย!”
หมับ! มือกำรอบต้นแขนคนแก่กว่า
หญิงวัยกลางคนเบิกตาโต
สีหน้าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัดขณะบิดแขนตนออกจากมือของหนุ่มน้อยแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว
คำว่าเรียบร้อยที่เธอคิดไว้ในทีแรกนั้นขอคืนก็แล้วกัน
มีอย่างที่ไหนมาแตะแขนเธอแบบนี้ ไม่รู้จักกันเสียหน่อย!
ใช่ว่าหล่อแล้วจะมาแตะเนื้อต้องตัวกันได้ง่ายๆ นะ!
“ที่นี่ --ที่...ไหนครับ”
คำถามสะล่ำสะลักปนหอบจากชายหนุ่มทำหญิงร่างท้วมขมวดคิ้วฉับ
“กระไรของเอ็งวะ” หล่อนถามกลับ
มองชายหนุ่มตัวผอมก้มลงหยัดแขนกับเข่าอย่างเหนื่อยอ่อนก็อดใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้
ผมเผ้ารึก็ยุ่งอย่างกับรังนก
เสื้อผ้าก็ใส่กระไรมิรู้เหมือนพวกฝาหรั่งหากมองดูดีๆ ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว “ไหวไหมเล่านั่น
แล้วนี่เอ็งมาจากไหนกัน ทำไมมาถึงนี่ได้?”
โดยปกติแล้วเรือนนี้ไม่ค่อยได้รับแขกสักเท่าไร
เพราะคุณหลวงท่านรักสันโดษไม่นิยมความวุ่นวาย บ่าวไพร่อย่างพวกเธอเลยพลอยสบาย
ไม่ต้องคอยรับหน้า
ตระเตรียมสำรับอย่างพวกบนเรือนใหญ่ที่ต้องคอยเตรียมสำรับมากมายสำหรับแขกของสมเด็จพระยาท่านอยู่บ่อยครั้ง
และที่สำคัญ พ่อหนุ่มหน้าละอ่อนคนนี้ดูแล้วไม่น่ามีบารมีถึงขั้นเป็นมิตรสหายคุณหลวงของเธอหรอก...
“มาจากห้องนอน...” เจนต์ถอนหายใจ
ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง มือก็ยีเรือนผมจนฟูฟ่อง “ผมชื่อเจนต์ครับ มาจากกรุงเทพฯ
เอ่อ... บ้านอยู่แถวทองหล่อ”
“ฮะ?” ทองหล่อกระไรของมัน
หล่อนไม่คุ้นหูแม้แต่น้อย “เอ็งนี่มันประหลาดดีจริงเทียว
ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ดูเถิด ผู้ชายที่ไหนเขาไว้ผมเผ้ายาวเยี่ยงผู้หญิงกันแบบนี้ เฮ้อ เอาเถอะๆ ไม่พูดแล้วก็ได้ ข้าชื่อแช่ม อยู่ที่พระนครนี่ล่ะ
ที่เรือนคุณหลวงจักรกฤติชินวงศ์”
หัวใจหล่นวูบเมื่อได้ยินคำว่า
‘พระนคร’ และ ‘คุณหลวง’ แม้จะพอเห็นว่าสภาพเมืองในยามนี้
การแต่งกายและวิธีการพูดจาของคนตรงหน้า ฟังอย่างไรก็ไม่ใช่อย่างกรุงเทพฯ
ที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต
และยิ่งได้พูดคุยด้วยมือเท้าเขาก็เริ่มชาเหมือนอยู่ในตู้แช่แข็ง แม้ไม่อยากยอมรับความจริงแต่มันก็กระแทกใส่หน้าเข้าเต็มรัก
“ว้าย! ตาเถร!”
แข้งขาอ่อนแรงเมื่อคิดได้ดังนั้นจนทรุดลงนั่งกับผืนหญ้าจนหญิงร่างท้วมหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อเห็น
“ป้าครับ...ขอชัดๆ ผมขอฟังชัดๆ อีกที
ที่นี่...ที่ไหนนะครับ” เอาให้เป็นลมกันไปเลย
“บ้ะ! เอ็งนี่มันแปลกคน
มาถึงนี่แล้วยังมิรู้ที่ใด แต่เอาเถิด เห็นหน้าซื่อๆ
ของเอ็งแล้วข้าก็จะบอกให้เอาบุญ ที่นี่น่ะคือเรือนเล็กของคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์
บุตรคนรองในสมเด็จเจ้าพระยาสุวรรณฉัตร อำเภอพระนคร ริมฝั่งคลองผดุงกรุงเกษม”
หูสองข้างดูเหมือนจะดับไปตั้งแต่ได้ยินคำบรรดาศักดิ์นำหน้าชื่อเจ้าของเรือน
และเกือบจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองด้วยซ้ำไปหากไม่ใช่เพราะแม้แต่มือทั้งสองข้างยังนิ่งแข็งเป็นหิน
ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบขณะฉิกลงบนกางเกงสแล็คเนื้อดีที่ซื้อไว้แต่ครั้งไปเรียนที่ซานฟรานซิสโก
ชัด...จนอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนี้เชียวล่ะ
ใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือก
มือยกขึ้นหยิกแขนอีกอย่างจนเนื้อแทบเขียวเมื่อได้ยินชื่อคุณหลวงยาวแสนยาว
ดวงหน้าหล่อเวลานี้กลับซีดเหมือนคนไม่สบาย เดือดร้อนแม่แช่ม
บ่าวในเรือนให้ถอนหายใจเฮือกแล้วลากแขนพ่อหนุ่มคนพิลึกไปนั่งพักบนแคร่ไม้ด้านใน
ใกล้กับตัวเรือนเล็กด้วยเห็นว่าอาการอีกฝ่ายไม่สู้จะดี
เจนต์นั่งเหม่อลอยอยู่หลายนาที
กระทั่งแม่แช่มกลับมาพร้อมกับขันเล็กสีเงินใบเล็กลอยดอกมะลิ
ชายหนุ่มจึงปริปากเอ่ยถามเจ้าหล่อนเสียงเบา “เอ่อ...ตอนนี้พ.ศ. อะไรหรือครับ?”
“พ.ศ.? คือกระไร?”
แม่แช่มถามกลับสีหน้าฉงน
“พุทธศักราชไงครับ” หากสีหน้าแม่แช่มดูจะสนเท่ห์กว่าเดิม
จนใจเจนต์จะอธิบายซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่
ขบเม้มริมฝีปากพยายามคิดหาคำถามที่เข้าท่ากว่าเดิม ที่นี่คือกรุงเทพฯ ไม่ผิดแน่
ทว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ที่เขาเคยอยู่มาทั้งชีวิต
แช่มพิจมองชายหนุ่มแปลกหน้า
เธอเห็นแล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนี้แต่งกายผิดแผกไปจากพวกเธออยู่โข
เพราะแม้แต่เจ้านายบนเรือนก็ยังไม่ใส่กางเกงขายาวๆ แปลกตาอย่างนี้เลย
เว้นเสียแต่ถึงคราวมีงานกับพวกตะวันตก
ดังนั้นเธอก็ยังทึกทักเอาว่าพ่อหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นพวกบ้าฝาหรั่ง
จึงได้แต่งกายเลียนแบบเสียตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่นี่คำพูดคำจารึก็แปลกไปด้วยจนเธอชักหวั่นใจ
เกรงจะต้องกราบเรียนคุณหลวงให้ทราบความก่อนที่อ้ายบ้าผู้นี้จะป่วนเรือนเล็กจนพวกหล่อนไม่เป็นอันทำงานทำการ
“พอศออะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ
แต่ถ้าถามว่าตอนนี้รศ. ใดก็พอจะตอบได้อยู่” แม่แช่มเท้าสะเอว
เหนื่อยใจด้วยพูดจากันทีก็เหมือนคนละภาษา “ตอนนี้รศ. ๑๑๔”
เจนต์หลับตาลง
ทิ้งตัวนอนราบกับพื้นไม้แคร่ เป็นลมจริงๆ ไปเลยก็แล้วกัน!
เขาตื่นขึ้นอีกครั้งแต่ยังไม่ยอมลืมตา
ได้ยินเสียงซุบซิบรอบตัวเป็นคำพูดแบบโบราณจนอยากหลับอีกรอบเผื่อว่าจะได้ตื่นมาในห้องนอนอันคุ้นเคยจนเผลอถอนหายใจ
คิดแล้วก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรมาแต่ปางไหน อยู่ๆ
ถึงได้ข้ามภพข้ามชาติกลับมาอดีตเหมือนในละครหลังข่าวอย่างนี้
“ตื่นแล้วก็จงลุกขึ้นมาเสีย”
เสียงทุ้มดุจนคนฟังต้องยอมเปิดเปลือกตา
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผิวขาวสะอาดในชุดราชปะแตนสีขาวเข้าคู่กับโจงกระเบนสีปีกแมลงทับ
เดาได้ไม่ยากว่าหล่อแบบนี้สาวๆ คงวิ่งตามกันทั้งอำเภอ ในความคิดของเจนต์
ชายหนุ่มตรงหน้าก็หล่อดีอยู่หรอก
หากไม่นับเรียวคิ้วเข้มขมวดเป็นปมกับแววตาดุเหมือนคุณครูห้องปกครองนั่นน่ะ...
ร่างผอมแอบมุ่ยหน้าขณะยันกายลุกขึ้นนั่ง
เจนต์พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่แคร่ในลานกลางเรือนไม้ทรงไทย
ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนน่าอึดอัด
รอบข้างบริเวณด้านล่างลานไม้ขัดมันมีกลุ่มชายหญิงที่น่าจะเป็นพวกบ่าวไพร่ในชุดสีทึมพยายามเก็บใบหน้าสงสัยใคร่รู้ของตัวเอง
จะว่าไปเขาคงดูเหมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับที่นี่ไม่น้อย
“เอ็งเป็นใคร ชื่ออะไร
เข้ามาในเรือนฉันได้อย่างไร มีใครส่งเอ็งมาหรือไม่?”
เจ้าของเรือนรัวคำถามแทบไม่เว้นช่องหายใจ มองใบหน้าอ่อนใสแล้วก็ยังแปลกใจไม่หาย
“ไม่รู้หรือว่าบุกรุกเรือนของฉันแล้วจะโดนโทษทัณฑ์อย่างไร”
“ไม่รู้ครับ ไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกด้วย”
เดาว่าพ่อหน้าดุคนนี้คงเป็นคุณหลวงชื่อยาวของแม่แช่มไม่ผิดแน่
สบตาคมแล้วก็นึกกลัวจะโดนเจ้าของมันกัดเอา
“ไม่รู้ว่าบอกไปแล้วคุณจะเชื่อไหม
แต่ฟังนะ ผมชื่อเจนต์ เป็นคนกรุงเทพฯ ไม่รู้ว่ามาถึงที่นี่ได้ยังไง
ไม่รู้ว่าใครส่งมา พระเจ้าหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ...
ผมไม่ใช่คนของที่นี่”
“แน่ล่ะ เอ็งไม่ใช่คนของที่นี่”
คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์รีบพูดจนเจนต์เกือบจะกลอกตา นั่นมันคนละความหมายกันแล้วโว้ย!
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมหมายถึงผม
ไม่-ใช่ คนที่นี่!” คนตรงหน้ายังขมวดคิ้วและพวกบ่าวไพร่ก็เริ่มซุบซิบว่าเขาเป็นคนสติไม่ดี
เจนต์กัดริมฝีปากอยากตะโกนแหกปากอย่างอึดอัดใจ
“ผมมาจากอนาคต! มาจากกรุงเทพฯ
ในอนาคตอีกประมาณ เอ่อ สองร้อยปีหลังจากนี้” หรือสามร้อยปีก็ไม่รู้
เจนต์คำนวณปีในหัวไม่ทัน แต่ช่างมันเถอะ!
“ไม่เชื่อ” คุณหลวงเจ้าของเรือนสรุปทันทีไม่รอฟังอะไร
ใบหน้าชายหนุ่มตัวผอมจึงเหวอออกหน้า
“อ้ายเพชร
พามันขังไว้ในห้องริมสุดของเรือนก่อน
ฉันคิดว่านี่อาจเป็นอุบายของพวกคิดขบถในกระทรวงฯ
ฉันจะไปเรือนใหญ่สอบถามสมเด็จพระยาฯ แล้วจึงจะกลับมาสอบสวนมันอีกที”
“ห้องริมสุดนั้น...”
บ่าวชื่อเพชรสีหน้าไม่สู้ดี “ประตูมันลงกลอนไม่ได้มาหลายวันแล้วขอรับคุณหลวง
กระผมเกรงจะขังมันไม่อยู่...”
คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ถอนหายใจ
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคิดผิดที่สร้างเรือนขนาดเล็กจนมีห้องพักเพียงสามห้องเท่านั้น
อีกห้องหนึ่งก็เป็นของคุณหญิงเกด ผู้เป็นมารดา จะให้อ้ายบ้าผู้นี้ไปอยู่คงไม่ได้
เรือนบ่าวไพร่หรือก็แออัดเกินไป เพราะแม้จะเลิกทาสแล้วแต่ทุกคนก็ไม่ยอมย้ายออก
เห็นทีแบบนี้ก็คงต้องจำใจ...
เห็นทีแบบนี้ก็คงต้องจำใจ...
“เช่นนั้นก็เอามันไปขังไว้ในห้องของฉันก่อนก็แล้วกัน”
จนตะวันคล้อยต่ำแทนที่ด้วยดวงจันทร์บนท้องฟ้านั่นล่ะ
คุณหลวงของหมู่บ่าวไพร่จึงได้กลับมาถึงเรือน ชายหนุ่มบรรดาศักดิ์ไม่พูดไม่จา
กลับมาถึงก็ดิ่งไปยังห้องของตนอันเป็นที่คุมขังชั่วคราวของคนแปลกหน้าผู้อ้างว่ามาจากอนาคตทันที
เจนต์เหล่ตามองคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์อย่างไม่แน่ใจว่าตนเองควรพูดทักทายไหม
แต่ไอ้สภาพถูกมัดติดกับขาเตียงก็ทำเขาตัดสินใจได้ว่าไม่พูดอะไรออกไปคงดีที่สุด
ร่างของคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะค่อยย่อตัวลงนั่งยองๆ
“เจ้าคุณพ่อบอกฉันว่ามิเคยได้ยินข่าวสอดแนมของคิดคดในกระทรวง
เช่นนั้นเอ็งเป็นใครเล่า เจ้าคนประหลาด ดูสิ ผมเอ็งยาวอย่างกับผู้หญิง” คำเรียกเจ้าคนประหลาด ทั้งยังเอื้อมมือมาแตะเรือนผมสีน้ำตาลไหม้เหมือนคนไม่เคยเห็นทำเอาเจนต์แอบชักสีหน้า
ผมยาวอะไรกันนี่ก็สั้นแล้วในยุคของเขา แค่ไม่หวีจนเรียบแปล้เหมือนคุณหลวงเท่านั้นเอง ส่วนทรงผมดอกกระพุ่มอย่างป้าแช่มนี่ต้องยอมรับว่าดูเผินๆ ความยาวคงสูสีกัน
ผมยาวอะไรกันนี่ก็สั้นแล้วในยุคของเขา แค่ไม่หวีจนเรียบแปล้เหมือนคุณหลวงเท่านั้นเอง ส่วนทรงผมดอกกระพุ่มอย่างป้าแช่มนี่ต้องยอมรับว่าดูเผินๆ ความยาวคงสูสีกัน
“ก็บอกแล้วไงว่าผมมาจากกรุงเทพฯ
ในอนาคตเป็นร้อยปีนู่น” เจนต์เองก็จนใจไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว เขาพิงศีรษะไว้กับเสาเตียง เหยียดขาแบบไม่เกรงใจตำแหน่ง ‘คุณหลวง’
“เชื่อผมเถอะ ผมไม่รู้จะโกหกคุณไปทำไม คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่เหมือนพวกคุณเลยสักนิด”
“เชื่อผมเถอะ ผมไม่รู้จะโกหกคุณไปทำไม คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่เหมือนพวกคุณเลยสักนิด”
เจนต์ผมสีเข้มก็จริง
แต่ก็เป็นผมสีน้ำตาลแบบเข้ม ไม่ใช่สีดำสนิทปีกกาเหมือนคุณหลวงเขา ทั้งยังตัดสั้นและจัดทรงอย่างดีเหมือนพวกนักร้องเกาหลีที่กำลังฮิตกันเชียวล่ะ
ส่วนชุดก็เป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล็คไปทำงานที่ใส่เข้านอนเพราะขี้เกียจอาบน้ำ
“เชื่อผมเถอะ” เขาย้ำอีกครั้ง
คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ไม่ตอบอะไร
กลับลุกขึ้นเดินอ้อมมาแก้ปมที่มัดมือผู้ต้องสงสัยให้แทน
ก่อนเอียงคอมองคนเด็กกว่าอย่างพินิจพิจารณา
ดวงตาคมไล่สำรวจตั้งแต่ต้นคอสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดไล่ขึ้นมาจนถึงข้างแก้ม
ดวงตาเรียวติดจะปรือลงนิดหน่อยเหมือนคนง่วงนอนหากมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
แม้แต่ใบหูเรียว และกลิ่นหอมแปลกประหลาดนี้อีก...
ไม่ใช่กลิ่นน้ำปรุงหรือดอกไม้แน่ๆ เพราะมันฉุนกว่านั้น เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเย็น
กระทั่งกลิ่นยังประหลาด... เจ้าคนนี้ประหลาดไปเสียทุกอย่าง
กระทั่งกลิ่นยังประหลาด... เจ้าคนนี้ประหลาดไปเสียทุกอย่าง
หากมันเป็นความประหลาดที่เรียกให้เลือดในกายเต้นตุบอย่างยินดี
คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ไม่ได้พบเจอเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างนี้มาตั้งแต่กลับจากการศึกษาจากเมืองจีนแล้ว
ยิ่งการทำงานในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติที่วันๆ
มีแต่ตัวเลขก็ทำให้ชีวิตของเขาน่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าอะไร
“ฉันไม่เชื่อ”
รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าหล่อเหลาจนเห็นลักยิ้มชวนให้หัวใจสั่นไหวทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องมาใจเต้นกับผู้ชายด้วยกัน เจนต์หลุบสายตาลงต่ำภาวนาให้คุณหลวงตรงหน้าไม่ได้ยินเสียงในอก
“คืนนี้นอนห้องนี้แล้วกัน
ฉันยังมีเรื่องต้องสอบเอ็งอีกมากทีเดียว”
---------------------------------------
#exoficfest
GUESS WHO?
รู้ไหมว่าใครเขียน
ไม่มีความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น