1.11.59

Prompt : #1215 เรือนเล็ก


เรือนเล็ก
Prompt : #1215 จากคุณ callmeaumz
Pairing : Yixing (คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์) / Jongin (เจนต์)
Summary : ย้อนยุค, บ้านเรือนไทย, คุณหลวง
Author : ?


            แต่เล็กจนโตเจนต์ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้หรือแม้แต่เรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อน จนกระทั่งวันที่เขาควักเงินซื้อตะเกียงเจ้าพายุเก่าคร่ำครึซ้ำยังติดๆ ดับๆ แม้ไม่มีลมมาจากร้านขายของเก่าแถววังหลัง

            วันนั้นเขากลับบ้านมาพร้อมกับความสงสัยว่ายอมเสียเงินแปดร้อยบาทไปทำไมกับไอ้ของพรรคนี้ แต่สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็วางมันบนโต๊ะข้างเตียง แล้ววิ่งหาเทียนกับไฟแช็กมาลองจุดมันดู และเมื่อเปลวไฟติดๆ ดับๆ อยู่หลายนาที เจนต์ก็เริ่มถอดใจ เขาพ่นลมออกจมูกแรงๆ ด้วยความยอมแพ้ มือก็โยนไฟแช็กไปทาง เทียนไขเล่มเล็กไปอีกทาง ปล่อยให้ความมืดโรยอยู่รอบตัวแบบนั้น...จนกระทั่งผล็อยหลับไป

            ในคืนนั้นเขาฝันประหลาด หมอกควันมากมายปกคลุมตัวทว่าอากาศนั้นกลับอบอุ่นเหมือนฤดูร้อน เจนต์มองอะไรไม่เห็นราวกับดวงตานั้นถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก มันโอบล้อมรอบตัวแน่นขึ้น แน่นขึ้นทุกขณะจนในที่สุดก็แทบหายใจไม่ออก ร่างทั้งร่างกระตุกเกร็ง ในเสี้ยววินาทีก่อนสติจะดับวูบเจนต์จินตนาการถึงใบหน้าพ่อกับแม่ กล่าวขอโทษพวกท่านซ้ำๆ ที่ยังไม่ทันได้ทดแทนบุญคุณก็ดันมาชิงตายไปเสียก่อน น้ำหยดเล็กซึมจากหางตา 

             พลันความรู้สึกเหมือนลมหายใจตีบตันทั้งหมดก็สิ้นไปพร้อมกับการร่วงหล่นครั้งใหญ่ของจิตวิญญาณ




             เจนต์ลืมตาขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองนอนแผ่หราอยู่กลางหญ้าสีเขียวริมฝั่งคลอง ขายาวปัดป่าย มือก็ลูบตามใบหน้าร่างกายอย่างงุนงง หากนี่เป็นสวรรค์ก็คงเป็นสวรรค์ที่พิลึกน่าดู... เขาคิดพลางเหลือบตามองหญิงแปลกหน้าในชุดไทยโบราณพายเรือท้องแบนลำเล็กผ่านไป

             ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าพยายามรวบรวมสติเท่าที่เท่าได้ ที่นี่ที่ไหน เขามาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขากำลังจะขาดอากาศหายใจตายอย่างไร้สาเหตุหรอกหรือ หรือว่านี่เป็นความฝัน...หรืออันที่จริงเขาตายไปแล้ว? คำถามสารพันวิ่งวุ่นอยู่ในหัว เจนต์หันซ้ายขวา มองหาใครสักคนที่พอจะซักถามถึงความสงสัยได้

             กวาดตามองไปทั่วอยู่ครู่หนึ่งก็พบหญิงร่างท้วมพันผ้าแถบสีแดงเข้ม นุ่งโจงกระเบน เขาขมวดคิ้วอย่างฉงนที่สุด นี่ยุคไหนแล้วทำไมใส่ชุดโบราณแบบนี้กัน? แต่เรื่องการแต่งกายยามนี้คงไม่สำคัญเท่าเขามาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร เจนต์พับเก็บความสงสัยล่าสุดเอาไว้ในใจแล้ว แล้วรีบตะโกนร้องเรียกสาวเจ้าที่กำลังหันหลังเดินไปอีกทาง

             “คุณป้าครับ!” เขาร้องเรียก “ขอโทษครับ คุณป้า!”

             ‘คุณป้า’ ที่เจนต์ร้องเรียกหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงโวกเวกจากด้านหลัง เธอเกือบจะเอียงคอใส่ชายหนุ่มแปลกหน้าในชุดไม่คุ้นตาไปแล้ว หากขายาวคู่นั้นก้าวตรงมาทางเธออย่างรีบร้อน แม้ใบหน้าอีกฝ่ายจะดูแปลกหน้าแปลกตาแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย กระนั้นพ่อหนุ่มคนนี้ก็ยังดู ‘ประหลาด’ สำหรับเธออยู่ดี

             “คุณป้าครับ! อย่าเพิ่งไป ผมขอถามอะไรหน่อย!”

             หมับ! มือกำรอบต้นแขนคนแก่กว่า หญิงวัยกลางคนเบิกตาโต สีหน้าตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัดขณะบิดแขนตนออกจากมือของหนุ่มน้อยแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว

             คำว่าเรียบร้อยที่เธอคิดไว้ในทีแรกนั้นขอคืนก็แล้วกัน มีอย่างที่ไหนมาแตะแขนเธอแบบนี้ ไม่รู้จักกันเสียหน่อย! ใช่ว่าหล่อแล้วจะมาแตะเนื้อต้องตัวกันได้ง่ายๆ นะ!

            “ที่นี่ --ที่...ไหนครับ” คำถามสะล่ำสะลักปนหอบจากชายหนุ่มทำหญิงร่างท้วมขมวดคิ้วฉับ

            “กระไรของเอ็งวะ” หล่อนถามกลับ มองชายหนุ่มตัวผอมก้มลงหยัดแขนกับเข่าอย่างเหนื่อยอ่อนก็อดใจอ่อนขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้ ผมเผ้ารึก็ยุ่งอย่างกับรังนก เสื้อผ้าก็ใส่กระไรมิรู้เหมือนพวกฝาหรั่งหากมองดูดีๆ ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว “ไหวไหมเล่านั่น แล้วนี่เอ็งมาจากไหนกัน ทำไมมาถึงนี่ได้?”

            โดยปกติแล้วเรือนนี้ไม่ค่อยได้รับแขกสักเท่าไร เพราะคุณหลวงท่านรักสันโดษไม่นิยมความวุ่นวาย บ่าวไพร่อย่างพวกเธอเลยพลอยสบาย ไม่ต้องคอยรับหน้า ตระเตรียมสำรับอย่างพวกบนเรือนใหญ่ที่ต้องคอยเตรียมสำรับมากมายสำหรับแขกของสมเด็จพระยาท่านอยู่บ่อยครั้ง และที่สำคัญ พ่อหนุ่มหน้าละอ่อนคนนี้ดูแล้วไม่น่ามีบารมีถึงขั้นเป็นมิตรสหายคุณหลวงของเธอหรอก...

            “มาจากห้องนอน...” เจนต์ถอนหายใจ ลุกยืนขึ้นเต็มความสูง มือก็ยีเรือนผมจนฟูฟ่อง “ผมชื่อเจนต์ครับ มาจากกรุงเทพฯ เอ่อ... บ้านอยู่แถวทองหล่อ”

            “ฮะ?” ทองหล่อกระไรของมัน หล่อนไม่คุ้นหูแม้แต่น้อย “เอ็งนี่มันประหลาดดีจริงเทียว ตั้งแต่เสื้อผ้าหน้าผมแล้ว ดูเถิด ผู้ชายที่ไหนเขาไว้ผมเผ้ายาวเยี่ยงผู้หญิงกันแบบนี้ เฮ้อ เอาเถอะๆ ไม่พูดแล้วก็ได้ ข้าชื่อแช่ม อยู่ที่พระนครนี่ล่ะ ที่เรือนคุณหลวงจักรกฤติชินวงศ์”

            หัวใจหล่นวูบเมื่อได้ยินคำว่า ‘พระนคร’ และ ‘คุณหลวง’ แม้จะพอเห็นว่าสภาพเมืองในยามนี้ การแต่งกายและวิธีการพูดจาของคนตรงหน้า ฟังอย่างไรก็ไม่ใช่อย่างกรุงเทพฯ ที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต และยิ่งได้พูดคุยด้วยมือเท้าเขาก็เริ่มชาเหมือนอยู่ในตู้แช่แข็ง แม้ไม่อยากยอมรับความจริงแต่มันก็กระแทกใส่หน้าเข้าเต็มรัก

            “ว้าย! ตาเถร!” แข้งขาอ่อนแรงเมื่อคิดได้ดังนั้นจนทรุดลงนั่งกับผืนหญ้าจนหญิงร่างท้วมหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อเห็น

            “ป้าครับ...ขอชัดๆ ผมขอฟังชัดๆ อีกที ที่นี่...ที่ไหนนะครับ” เอาให้เป็นลมกันไปเลย

            “บ้ะ! เอ็งนี่มันแปลกคน มาถึงนี่แล้วยังมิรู้ที่ใด แต่เอาเถิด เห็นหน้าซื่อๆ ของเอ็งแล้วข้าก็จะบอกให้เอาบุญ ที่นี่น่ะคือเรือนเล็กของคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ บุตรคนรองในสมเด็จเจ้าพระยาสุวรรณฉัตร อำเภอพระนคร ริมฝั่งคลองผดุงกรุงเกษม

            หูสองข้างดูเหมือนจะดับไปตั้งแต่ได้ยินคำบรรดาศักดิ์นำหน้าชื่อเจ้าของเรือน และเกือบจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองด้วยซ้ำไปหากไม่ใช่เพราะแม้แต่มือทั้งสองข้างยังนิ่งแข็งเป็นหิน ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบขณะฉิกลงบนกางเกงสแล็คเนื้อดีที่ซื้อไว้แต่ครั้งไปเรียนที่ซานฟรานซิสโก

            ชัด...จนอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนี้เชียวล่ะ ใบหน้าชายหนุ่มซีดเผือก มือยกขึ้นหยิกแขนอีกอย่างจนเนื้อแทบเขียวเมื่อได้ยินชื่อคุณหลวงยาวแสนยาว ดวงหน้าหล่อเวลานี้กลับซีดเหมือนคนไม่สบาย เดือดร้อนแม่แช่ม บ่าวในเรือนให้ถอนหายใจเฮือกแล้วลากแขนพ่อหนุ่มคนพิลึกไปนั่งพักบนแคร่ไม้ด้านใน ใกล้กับตัวเรือนเล็กด้วยเห็นว่าอาการอีกฝ่ายไม่สู้จะดี

            เจนต์นั่งเหม่อลอยอยู่หลายนาที กระทั่งแม่แช่มกลับมาพร้อมกับขันเล็กสีเงินใบเล็กลอยดอกมะลิ ชายหนุ่มจึงปริปากเอ่ยถามเจ้าหล่อนเสียงเบา “เอ่อ...ตอนนี้พ.ศ. อะไรหรือครับ?”

           “พ.ศ.? คือกระไร?” แม่แช่มถามกลับสีหน้าฉงน

           “พุทธศักราชไงครับ” หากสีหน้าแม่แช่มดูจะสนเท่ห์กว่าเดิม จนใจเจนต์จะอธิบายซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขบเม้มริมฝีปากพยายามคิดหาคำถามที่เข้าท่ากว่าเดิม ที่นี่คือกรุงเทพฯ ไม่ผิดแน่ ทว่าที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯ ที่เขาเคยอยู่มาทั้งชีวิต

           แช่มพิจมองชายหนุ่มแปลกหน้า เธอเห็นแล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนี้แต่งกายผิดแผกไปจากพวกเธออยู่โข เพราะแม้แต่เจ้านายบนเรือนก็ยังไม่ใส่กางเกงขายาวๆ แปลกตาอย่างนี้เลย เว้นเสียแต่ถึงคราวมีงานกับพวกตะวันตก ดังนั้นเธอก็ยังทึกทักเอาว่าพ่อหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นพวกบ้าฝาหรั่ง จึงได้แต่งกายเลียนแบบเสียตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่นี่คำพูดคำจารึก็แปลกไปด้วยจนเธอชักหวั่นใจ

           เกรงจะต้องกราบเรียนคุณหลวงให้ทราบความก่อนที่อ้ายบ้าผู้นี้จะป่วนเรือนเล็กจนพวกหล่อนไม่เป็นอันทำงานทำการ

           “พอศออะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้รศ. ใดก็พอจะตอบได้อยู่” แม่แช่มเท้าสะเอว เหนื่อยใจด้วยพูดจากันทีก็เหมือนคนละภาษา “ตอนนี้รศ. ๑๑๔”

           เจนต์หลับตาลง ทิ้งตัวนอนราบกับพื้นไม้แคร่ เป็นลมจริงๆ ไปเลยก็แล้วกัน!




           เขาตื่นขึ้นอีกครั้งแต่ยังไม่ยอมลืมตา ได้ยินเสียงซุบซิบรอบตัวเป็นคำพูดแบบโบราณจนอยากหลับอีกรอบเผื่อว่าจะได้ตื่นมาในห้องนอนอันคุ้นเคยจนเผลอถอนหายใจ คิดแล้วก็อยากร้องไห้ ไม่รู้ไปทำเวรทำกรรมอะไรมาแต่ปางไหน อยู่ๆ ถึงได้ข้ามภพข้ามชาติกลับมาอดีตเหมือนในละครหลังข่าวอย่างนี้

           “ตื่นแล้วก็จงลุกขึ้นมาเสีย”

           เสียงทุ้มดุจนคนฟังต้องยอมเปิดเปลือกตา เมื่อลืมตาขึ้นก็พบใบหน้าหล่อคมของชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผิวขาวสะอาดในชุดราชปะแตนสีขาวเข้าคู่กับโจงกระเบนสีปีกแมลงทับ เดาได้ไม่ยากว่าหล่อแบบนี้สาวๆ คงวิ่งตามกันทั้งอำเภอ ในความคิดของเจนต์ ชายหนุ่มตรงหน้าก็หล่อดีอยู่หรอก หากไม่นับเรียวคิ้วเข้มขมวดเป็นปมกับแววตาดุเหมือนคุณครูห้องปกครองนั่นน่ะ...

           ร่างผอมแอบมุ่ยหน้าขณะยันกายลุกขึ้นนั่ง เจนต์พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่แคร่ในลานกลางเรือนไม้ทรงไทย ขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนน่าอึดอัด รอบข้างบริเวณด้านล่างลานไม้ขัดมันมีกลุ่มชายหญิงที่น่าจะเป็นพวกบ่าวไพร่ในชุดสีทึมพยายามเก็บใบหน้าสงสัยใคร่รู้ของตัวเอง

           จะว่าไปเขาคงดูเหมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับที่นี่ไม่น้อย

          “เอ็งเป็นใคร ชื่ออะไร เข้ามาในเรือนฉันได้อย่างไร มีใครส่งเอ็งมาหรือไม่?” เจ้าของเรือนรัวคำถามแทบไม่เว้นช่องหายใจ มองใบหน้าอ่อนใสแล้วก็ยังแปลกใจไม่หาย “ไม่รู้หรือว่าบุกรุกเรือนของฉันแล้วจะโดนโทษทัณฑ์อย่างไร”

          “ไม่รู้ครับ ไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกด้วย” เดาว่าพ่อหน้าดุคนนี้คงเป็นคุณหลวงชื่อยาวของแม่แช่มไม่ผิดแน่ สบตาคมแล้วก็นึกกลัวจะโดนเจ้าของมันกัดเอา

          “ไม่รู้ว่าบอกไปแล้วคุณจะเชื่อไหม แต่ฟังนะ ผมชื่อเจนต์ เป็นคนกรุงเทพฯ ไม่รู้ว่ามาถึงที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ว่าใครส่งมา พระเจ้าหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ... ผมไม่ใช่คนของที่นี่”

          “แน่ล่ะ เอ็งไม่ใช่คนของที่นี่” คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์รีบพูดจนเจนต์เกือบจะกลอกตา นั่นมันคนละความหมายกันแล้วโว้ย!

          “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมหมายถึงผม ไม่-ใช่ คนที่นี่!” คนตรงหน้ายังขมวดคิ้วและพวกบ่าวไพร่ก็เริ่มซุบซิบว่าเขาเป็นคนสติไม่ดี เจนต์กัดริมฝีปากอยากตะโกนแหกปากอย่างอึดอัดใจ

         “ผมมาจากอนาคต! มาจากกรุงเทพฯ ในอนาคตอีกประมาณ เอ่อ สองร้อยปีหลังจากนี้” หรือสามร้อยปีก็ไม่รู้ เจนต์คำนวณปีในหัวไม่ทัน แต่ช่างมันเถอะ!

          ไม่เชื่อ” คุณหลวงเจ้าของเรือนสรุปทันทีไม่รอฟังอะไร ใบหน้าชายหนุ่มตัวผอมจึงเหวอออกหน้า

          “อ้ายเพชร พามันขังไว้ในห้องริมสุดของเรือนก่อน ฉันคิดว่านี่อาจเป็นอุบายของพวกคิดขบถในกระทรวงฯ ฉันจะไปเรือนใหญ่สอบถามสมเด็จพระยาฯ แล้วจึงจะกลับมาสอบสวนมันอีกที”

          “ห้องริมสุดนั้น...” บ่าวชื่อเพชรสีหน้าไม่สู้ดี “ประตูมันลงกลอนไม่ได้มาหลายวันแล้วขอรับคุณหลวง กระผมเกรงจะขังมันไม่อยู่...”

          คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคิดผิดที่สร้างเรือนขนาดเล็กจนมีห้องพักเพียงสามห้องเท่านั้น อีกห้องหนึ่งก็เป็นของคุณหญิงเกด ผู้เป็นมารดา จะให้อ้ายบ้าผู้นี้ไปอยู่คงไม่ได้ เรือนบ่าวไพร่หรือก็แออัดเกินไป เพราะแม้จะเลิกทาสแล้วแต่ทุกคนก็ไม่ยอมย้ายออก

          เห็นทีแบบนี้ก็คงต้องจำใจ...

          “เช่นนั้นก็เอามันไปขังไว้ในห้องของฉันก่อนก็แล้วกัน”



           จนตะวันคล้อยต่ำแทนที่ด้วยดวงจันทร์บนท้องฟ้านั่นล่ะ คุณหลวงของหมู่บ่าวไพร่จึงได้กลับมาถึงเรือน ชายหนุ่มบรรดาศักดิ์ไม่พูดไม่จา กลับมาถึงก็ดิ่งไปยังห้องของตนอันเป็นที่คุมขังชั่วคราวของคนแปลกหน้าผู้อ้างว่ามาจากอนาคตทันที

           เจนต์เหล่ตามองคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์อย่างไม่แน่ใจว่าตนเองควรพูดทักทายไหม แต่ไอ้สภาพถูกมัดติดกับขาเตียงก็ทำเขาตัดสินใจได้ว่าไม่พูดอะไรออกไปคงดีที่สุด ร่างของคุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะค่อยย่อตัวลงนั่งยองๆ

           “เจ้าคุณพ่อบอกฉันว่ามิเคยได้ยินข่าวสอดแนมของคิดคดในกระทรวง เช่นนั้นเอ็งเป็นใครเล่า เจ้าคนประหลาด ดูสิ ผมเอ็งยาวอย่างกับผู้หญิง” คำเรียกเจ้าคนประหลาด ทั้งยังเอื้อมมือมาแตะเรือนผมสีน้ำตาลไหม้เหมือนคนไม่เคยเห็นทำเอาเจนต์แอบชักสีหน้า 

           ผมยาวอะไรกันนี่ก็สั้นแล้วในยุคของเขา แค่ไม่หวีจนเรียบแปล้เหมือนคุณหลวงเท่านั้นเอง ส่วนทรงผมดอกกระพุ่มอย่างป้าแช่มนี่ต้องยอมรับว่าดูเผินๆ ความยาวคงสูสีกัน

          “ก็บอกแล้วไงว่าผมมาจากกรุงเทพฯ ในอนาคตเป็นร้อยปีนู่น” เจนต์เองก็จนใจไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว เขาพิงศีรษะไว้กับเสาเตียง เหยียดขาแบบไม่เกรงใจตำแหน่ง ‘คุณหลวง’ 

          “เชื่อผมเถอะ ผมไม่รู้จะโกหกคุณไปทำไม คุณก็เห็นแล้วนี่ ผมไม่เหมือนพวกคุณเลยสักนิด”

          เจนต์ผมสีเข้มก็จริง แต่ก็เป็นผมสีน้ำตาลแบบเข้ม ไม่ใช่สีดำสนิทปีกกาเหมือนคุณหลวงเขา ทั้งยังตัดสั้นและจัดทรงอย่างดีเหมือนพวกนักร้องเกาหลีที่กำลังฮิตกันเชียวล่ะ ส่วนชุดก็เป็นเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล็คไปทำงานที่ใส่เข้านอนเพราะขี้เกียจอาบน้ำ

          “เชื่อผมเถอะ” เขาย้ำอีกครั้ง

          คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ไม่ตอบอะไร กลับลุกขึ้นเดินอ้อมมาแก้ปมที่มัดมือผู้ต้องสงสัยให้แทน ก่อนเอียงคอมองคนเด็กกว่าอย่างพินิจพิจารณา

          ดวงตาคมไล่สำรวจตั้งแต่ต้นคอสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดไล่ขึ้นมาจนถึงข้างแก้ม ดวงตาเรียวติดจะปรือลงนิดหน่อยเหมือนคนง่วงนอนหากมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด แม้แต่ใบหูเรียว และกลิ่นหอมแปลกประหลาดนี้อีก... ไม่ใช่กลิ่นน้ำปรุงหรือดอกไม้แน่ๆ เพราะมันฉุนกว่านั้น เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเย็น 

         กระทั่งกลิ่นยังประหลาด... เจ้าคนนี้ประหลาดไปเสียทุกอย่าง

         หากมันเป็นความประหลาดที่เรียกให้เลือดในกายเต้นตุบอย่างยินดี คุณหลวงจักรกฤตชินวงศ์ไม่ได้พบเจอเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างนี้มาตั้งแต่กลับจากการศึกษาจากเมืองจีนแล้ว ยิ่งการทำงานในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติที่วันๆ มีแต่ตัวเลขก็ทำให้ชีวิตของเขาน่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าอะไร

         “ฉันไม่เชื่อ”

         รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าหล่อเหลาจนเห็นลักยิ้มชวนให้หัวใจสั่นไหวทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ต้องมาใจเต้นกับผู้ชายด้วยกัน  เจนต์หลุบสายตาลงต่ำภาวนาให้คุณหลวงตรงหน้าไม่ได้ยินเสียงในอก

         “คืนนี้นอนห้องนี้แล้วกัน ฉันยังมีเรื่องต้องสอบเอ็งอีกมากทีเดียว”






 ---------------------------------------

#exoficfest

GUESS WHO?

รู้ไหมว่าใครเขียน

ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

© LUCKY ONE FIC FEST
Maira Gall