23.2.60

Promt : #1283 Let me love you





LET ME LOVE YOU

Prompt : #1283 จากคุณ 여자
Pairing : Yixing / Jongdae
Summary : “ไปเลย” ก็แม่บอกว่าเวลารักใครให้บอกไปเลย
Author : ?




ผมชื่อจางอี้ชิง เป็นพนักงานออฟฟิศสัญชาติจีนที่ไม่มีใครตื่นเต้นกับการมีผมอยู่


ผมย้ายมาจากบริษัทสาขาปักกิ่ง ทำงานที่นี่มาใกล้จะครบปีแล้ว ยังไม่มีเพื่อนสนิท ยังไม่มีปาร์ตี้เมาหัวราน้ำ แล้วก็ยังไม่มีเพื่อนนั่งกินข้าวที่พอจะรู้ว่าผมชอบหรือกินอะไรไม่ได้บ้าง เหตุผลเบื้องต้นก็ง่ายแสนง่าย คือหนึ่ง ผมพูดภาษาจีน ไม่รู้ภาษาเกาหลี และโง่ภาษาอังกฤษเอามากๆ แค่ข้อเดียว จำนวนคนที่มีความพยายามมากพอจะคุยกับผมโดยไม่เดินหนีไปเสียก่อนก็ลดฮวบจนเกือบเกลี้ยงบริษัทแล้ว


ข้อสอง งานของผมสามารถทำคนเดียวได้ กล่าวคือ ถึงจะขาดไอ้สิ่งข้างต้นที่ว่ามา เงินเดือนของผมก็ยังปกติสุขเท่าเดิมทุกประการ ผมไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนากับใคร ทุกๆ วันงานที่ผมต้องตรวจสอบเพื่อส่งให้สาขาใหญ่จะถูกส่งเข้าทางอีเมล ผมรู้ชื่อเจ้าของอีเมลพวกนั้นดี แต่กลับจำใบหน้าของพวกเขาไม่ได้เลยสักคน


ข้อสาม มนุษยสัมพันธ์ของผมไม่แย่ หรืออาจจะแย่ก็ได้ถ้านั่นหมายถึงการที่ผมเข้าหาใครไม่เก่งเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าผมจะยิ้มง่าย แล้วก็มีเรื่องตลกจากเมืองจีนตุนเอาไว้มากพอจะเล่าได้ทั้งปีก็ตาม
แล้ววันหนึ่งเหตุผลทั้งสามข้อของผมก็ได้รับข้อยกเว้น


“เอ่อ... ##จางอี้ชิง######”


ผมเบิกตาโพลง นั่งหลังตรง ประสาทสัมผัสทุกส่วนตื่นตัวทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองปะปนอยู่ในประโยคที่ฟังไม่รู้เรื่อง ผมมองไปทางประตูแผนก เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรอยู่ เนกไทสีน้ำเงินบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนของเขาดูเข้ากันดี พวกคนเกาหลีคุยกันอีกไม่กี่คำเป็นบทสนทนาสั้นๆ จากนั้นคนมาใหม่ก็เดินดุ่มๆ เลยโต๊ะของพนักงานทุกคนมาจนถึงแถวของผม


ผมควรจะโทรไปเล่าเรื่องนี้ให้ม๊าฟังไหมนะ ในที่สุดก็มีคนมาหาผมแล้ว


“คุณจาง”


ยิ้มของเขาช่างสดใสและเป็นมิตร มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ พอคิดว่าจะได้ใช้ปากพูดในที่ทำงานแล้ว “อ่า... มีอะไรเหรอครับ”


“ผมเอาเอกสัน --” เขากระแอม พยายามจะออกเสียงให้ช้าและชัดขึ้น “เอกสาร ผมเอามาห้ายตรวจครับ”


“ขอบคุณครับ” น่าเห็นใจจัง ผมรู้ว่าภาษาบ้านเกิดตัวเองมันออกเสียงยาก แต่ก็น่าดีใจเหลือเกินที่ในที่สุดก็มีใครสักคนสื่อสารกับผมได้ จริงๆ เอกสารพวกนี้ก็สามารถส่งทางอีเมลได้เหมือนคนอื่นนี่นา แต่ทำไมเขาถึงจะต้องปรินท์มันมาให้ผมด้วยตัวเองกัน “ตรงที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม ผมจะวงปากกาแดงไปนะครับ”


เขาพยักหน้า เป็นการเชิญชวนทางอ้อมให้ผมหาเรื่องคุยเสียจริง


“คุณพูดจีนได้เหรอ” ผมอ่านชื่อของเขาที่อยู่หน้าหลังสุดของเอกสาร ใต้ลายเซ็นหวัดๆ มีลายมือบรรจงถูกเขียนว่า คิมจงแด ประทับชัดเจนอยู่ ถ้าแน่นอนว่านี่เป็นเอกสารของเขาเองล่ะก็ ชื่อนี้ก็คงใช่เหมือนกัน


“ผมเคยเรียนภาษาจีนครับ” จงแดตอบ ดวงตาของเขาเหมือนจิ้งจอกอารมณ์ดี “แต่ไม่เก่งหรอกครับ ได้นี้ดหน่อย”


“โอ้ ผมว่าใช้ได้เลยนะครับ” ผมพยายามซ่อนความดีใจเอาไว้ ถึงเขาจะพูดไม่ชัดหมดทุกคำ แต่ก็ใช่ว่าถึงกับฟังไม่รู้เรื่อง ดูผมเป็นบุคคลตัวอย่างสิ นอกจากอันยองฮาเซโยแล้วก็ไม่รู้ภาษาเกาหลีเลยสักคำเดียว ไร้ประโยชน์จริงๆ


ผมคิดว่านั่นคงเป็นเหตุการณ์ผิดปกติเพียงครั้งเดียวในชีวิตการทำงานที่แสนน่าเบื่อ ทว่าอีกไม่กี่วันต่อมา เขาก็โผล่หน้ามาส่งเอกสารด้วยตัวเองอีก และในครั้งที่สามเราก็ตัดสินใจไปกินข้าวกลางวันด้วยกันที่โรงอาหารของบริษัท จงแดมีเพื่อนมากมายเพราะอัธยาศัยของเขา และมื้อกลางวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสคุยกับคนอื่นโดยมีเขาเป็นล่าม มันออกจะทุลักทุเลไปสักหน่อย ผมคิดว่าทุกคนคงหงุดหงิดที่การคุยกับผมมันลำบาก แต่จงแดกลับเปลี่ยนให้ทุกอย่างน่าสนุกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ


หลังจากนั้น ผมก็ได้เจอกับเขาทุกวัน ซึ่งมันไม่ปลอดภัยเลยสักนิด


ให้ตาย... หัวใจของผมเริ่มจะรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียแล้ว







จงแดหายไปทั้งสิ้นหกวัน


หกวันแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอเขาเมื่อศุกร์ที่แล้ว ผมกระวนกระวายใจแปลกๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ทั้งรวบรวมสมาธิทำงานไม่ได้ สายตามันรังแต่จะคอยสอดส่องรอให้ใครบางคนเดินเข้ามาทางประตูบานนั้น ผมรู้ว่าเขาทำงานที่ไหน แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าการไปหาจงแดที่แผนกจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยที่ต้องคอยดูแลคนจีนอย่างผม หากผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าการมีเขาอยู่มันดี -- ดีมากจนผมไม่อยากให้มันหายไป


และบ่ายสองโมงของวันที่หกนั่นเอง อีเมลของคิมจงแดก็ถูกส่งเข้ามา


ผมทนไม่ไหวแล้ว!


เพราะอย่างนั้น สุดท้ายผมจึงทำ... หมายถึงว่าเอาตัวเองไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวแผนกของเขา มองหาคิมจงแดที่น่าจะกำลังนั่งหลังขดหลังแข็งทำงาน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาห้าโมงเย็นพอดิบพอดี แต่การลุกก่อนเวลาทั้งที่งานเสร็จแล้วใครจะมาสนผมล่ะ ขนาดฝ่ายทรัพยากรบุคคลยังไม่รู้จะตำหนิผมอย่างไรโดยที่ไม่ไปเรียนภาษาจีนมาก่อนเลย


ผมมองนาฬิกาข้อมือ นับถอยหลังอีกสิบวินาที


เจ็ด

แปด

เก้า


เอาล่ะ!


พนักงานหลายคนในแผนกเริ่มพากันเก็บของ บิดขี้เกียจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วทยอยสวนผมที่ยืนหลบมุมรออยู่ข้างกระถางต้นไม้ ผมอดทนรอ ระหว่างนั้นก็คิดในใจว่าจะทำอย่างไรดีถ้าหากเห็นจงแดเดินผ่านไปตรงหน้า เอ่ยเรียกเขาไว้หรือ แล้วยังไงต่อ? อ่า... มันยากจังเลย


แต่จนแล้วจนรอด คนสุดท้ายที่เดินผ่านหน้าผมไปก็ไม่มีคิมจงแดรวมอยู่เลย ผมตัดสินใจก้าวเท้าออกมาข้างหน้า ชะโงกมองเข้าไปในแผนก เท่าที่สายตามองเห็นคือไม่มีใครอยู่ทำงานแล้ว เขาหยุดหรือไงนะ อาจจะไม่สบาย? ผมทำได้แค่คาดเดาไปต่างๆ นานาด้วยความว้าวุ่นใจ ก็นอกจากการเจอกันที่ทำงานแล้ว ผมไม่มีช่องทางอื่นให้ติดต่อเขาเลย


อ่า... เอาไงต่อดีนะ


ขณะที่ผมกำลังจะยอมแพ้ ร่างของใครบางคนในคอกทำงานด้านในสุดก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โอ หัวใจผมเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาอีกครั้ง มองจงแดที่กำลังถอนหายใจ สีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเก็บเอกสารบนโต๊ะลงกระเป๋าอย่างเชื่องช้า ทำยังไม่ทันเสร็จดี สายตาก็เบือนมองออกไปยังวิวสูงนอกหน้าต่างอยู่นานแสนนาน


เขากำลังทุกข์ใจ นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมดูออก


ความรู้สึกบางอย่างของผมอาจเก็บไม่มิด มันกระโจนไปสะกิดคิมจงแดให้หันมามองทางนี้โดยบังเอิญ







“ขอบคุณเท่มาดื่นเป็นเพื่อนนะครับอี้ชิง”


จงแดเรอออกมาอึกใหญ่ เขาวางแก้วที่เพิ่งซดโซจูจนหมดเกลี้ยงกระแทกลงกับโต๊ะแรงเสียจนน่ากลัวว่ามันจะแตก ผมได้แต่หัวเราะแหะๆ ภาวนาให้เขาที่กำลังจะเมายิ่งไปกว่านี้ยังพอจะพูดภาษาจีนรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นโอกาสอยู่สองต่อสองที่แลกมาด้วยความเศร้าของเขาคงจบเห่ลงในเตนท์ร้านอาหารรสชาติสุดแสนธรรมดาร้านนี้แน่


“อยากกินปลาหมึกอีกไหม เดี๋ยวผมสั่งมาเพิ่ม” ผมถามเพราะเห็นจงแดจ้วงหนวดปลาหมึกบ่อยเป็นพิเศษจนมันเหลืออยู่แค่สองชิ้นแล้ว ทว่าเขาส่ายหน้า เทโซจูลงข้างแก้วจนมันไหลนองลงบนพื้น ดีที่ข้างล่างเป็นพื้นกรวดปูถนนธรรมดา ไม่อย่างนั้นผมคงต้องขอโทษขอโพยเจ้าของร้านแทนจงแดที่จะเมาคอพับในอีกไม่กี่นาทีนี้แน่ๆ


พอได้รู้เหตุผลที่เขาหายไปจากผมในช่วงนี้แล้ว ความรู้สึกที่เหมือนอกหักก็ร้าวรานไปทั่วหัวใจของผมอย่างไม่ปรานีทีเดียว


จงแดเพิ่งเลิกกับแฟน แบบว่าแฟนสาวที่คบกันมาสองปีแต่นอกใจไปหาผู้ชายที่รวยกว่าแล้วน่ะนะ แหงล่ะว่าจะมีใครที่เจ็บปวดเป็นเพื่อนเขาได้ดีเท่าผมในตอนนี้อีก ผมไม่รู้มาก่อนว่าจงแดมีแฟน แต่การมารู้ในตอนที่เขาเพิ่งโสดมาสดๆ ร้อนๆ นี่ก็ไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไร เทียบกันแล้วผมยังรู้จักเขาไม่ถึงสามเดือนเลยด้วยซ้ำ นอกจากไม่รู้ว่าจะช่วยปลอบอย่างไรแล้ว ยังต้องพยายามทำความเข้าใจจงแดที่ไม่รู้ตัวว่าเริ่มจะกลับไปพูดภาษาเกาหลีอีกแล้ว


###########! #####!!!


เขาบ่น แต่ผมฟังไม่ออกเลยสักนิด ให้เดาก็คงกำลังตัดพ้อเรื่องผู้หญิงคนนั้นอยู่กระมัง


ผมยกแก้วโซจูขึ้นดื่มขณะที่สายตาก็เหลือบมองคนตรงหน้าไม่ละหนี หน้าของจงแดแดงก่ำหมดแล้ว มันทำให้ผมทั้งเขินทั้งเจ็บ แล้วก็รังเกียจตัวเองชะมัดเลยที่ดันเผลอคิดอะไรแย่ๆ อย่างเช่นว่าถ้าได้กอดปลอบเขาสักทีจะเป็นไรไหมนะ แต่นั่นมันคือการฉวยโอกาสชัดๆ ผมจะไปกล้าทำได้อย่างไร


พูดไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วผมโหยหาความหยาบกระด้างของตัวเองเพื่อที่จะได้กล้าทำสิ่งที่อยู่ในหัวนั่นแหละ คิมจงแดเป็นผู้ชายแท้ๆ และคงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับผมเลย เผลอๆ ผมมีสถานะเป็นแค่คนรู้จักของเขาที่บริษัทเท่านั้น


ม๊าครับ ผมจะทำอย่างไรดีเนี่ย...




อาชิง




ผมได้ยินเสียงของม๊าดังขึ้นขณะพยายามหิ้วร่างของจงแดที่เมาพับในเข้าไปอยู่ในรถ ผมให้เขาอยู่ที่เบาะข้างคนขับ เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยดูแลเขาได้ (อย่างเช่นว่าถ้าเขากำลังจะอ้วกในรถผม) ส่วนตัวเองก็รีบรุดไปอีกฝั่ง ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ยังรู้ตัวว่าต้องรับผิดชอบต่อสังคมเลยไม่ดื่มไปเยอะ แต่ถ้าเจอด่านตรวจล่ะก็คงเสียวๆ อยู่เหมือนกัน


ก่อนออกรถ ผมมองเสี้ยวหน้าของเขา แล้วเสียงของม๊าก็ดังขึ้นอีก


อาชิง


อึก


ไอ้ลูกหมา บ่อมิไก๊จริงๆ เลย


“ม๊า...” มาไงเนี่ย งงไปหมด


เสียงของม๊าเงียบไปแล้ว ผมจึงเริ่มออกรถ ขับไปตามทางที่ขอให้จงแดส่งโลเกชั่นไว้ให้ก่อนเขาจะเมาพับไป (มีไลน์กันแล้ว ผมต้องการฉลอง) บ้านของจงแดอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้สักเท่าไร ขับรถไปราวสิบห้านาทีก็น่าจะถึง


อั๊วสอนให้ลื้อขี้ขลาดตาขาวหรือไง ตั๊มไบ้ ตั๊มไบ้


“โธ่ อั๊วะไม่กล้าหรอกม๊า ตาโปวทั้งคู่ ม๊าไม่ต้องโผล่มาเข้าข้างอั๊วะเลย” ถูกที่ม๊าผมยังไม่ตาย แถมตอนนี้ยังเปิดกิจการที่จีนให้พี่ชายผมดูแลจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกต่างหาก แต่คำสอนของม๊ามันฝังลึกลงมาเป็นระบบปฏิบัติการในตัวผมเสียแล้ว เสียงที่ได้ยินอยู่นี้ อธิบายง่ายๆ มันก็คล้ายกับสิริ มีแพทเทิร์นการตอบแบบง่ายๆ ที่ทำให้ผมมีกำลังใจในสิ่งที่ทำอยู่มากที่สุด


ลูกผู้ชายน่ะนะ จะรักจะชอบใครมันต้องกล้าบอก ดูอย่างพี่ชายลื้อซี่ หา


ประโยคนี้ม๊าเคยพูดกับผมตอนที่พี่ชายได้แต่งเมีย ส่วนตัวเองถูกผู้หญิงที่แอบชอบมาตลอดสี่ปีร่อนการ์ดแต่งงานมาให้


ไปเลย!’


โธ่เว้ย...


ลูกผู้ชายสกุลจาง รักใครให้บอกไปเลย!’




“ใครจะไปกล้าล่ะม๊า! อั๊วะมันบ่อมิไก๊! อาจงแดอีไม่มาสนคนอย่างอั๊วะหรอก!!!


ผมหอบหายใจ เถียงม๊าที่อยู่มโนสำนึกไปคอเป็นเอ็นจนเสียงเงียบไปเลย บอกไปเลยบ้าอะไรกันเล่า... ขืนม๊าตัวจริงที่จีนรู้ มีหวังจะถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลน่ะซี


“ครับ?”




เอี๊ยด!!!




ผมเบรกรถกะทันหัน หน้าบ้านใครก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าทำไมคิมจงแดที่ควรจะหลับไม่รู้เรื่องถึงได้หันมามองทางนี้ทั้งยังทำตาแบบจิ้งจอกตกใจด้วยล่ะ เขาคงไม่ได้ยินที่ผมเถียงกับม๊าเมื่อครู่นี้ใช่ไหม จางอี้ชิงน้ำตาจะไหลอยู่แล้ว


“เอ่อ... อี้ชิงคุย อึก” จงแดสะอึก กลิ่นโซจูคลุ้งรถเลย แต่ผมไม่สนใจเท่าความซวยของตัวเองในตอนนี้หรอก “คุยกับใครอยู่”


ผมตอบไม่ได้ จงแดเองก็ยังดูไม่มีสติเต็มร้อยนัก เขาขมวดคิ้วเพราะพยายามจะเพ่งมองภาพที่เห็นให้ชัด


“ทำไมมีชื่อโผมด้วย”


ผมจะร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว ทำไมผมต้องมาตอบคำถามอะไรแบบนี้ด้วย ม๊านะม๊า ไปเลยอะไรกันล่ะ มันไม่ง่ายขนาดนั้นเห็นไหม


ผมกำมือที่จับพวงมาลัยรถแน่น ถนนซอยนี้ก็มืดมาก นอกจากรถที่จอดทิ้งไว้ตามหน้าบ้านแต่ละหลังแล้วก็ไม่มีใครเดินไปเดินมาเลย แต่นั่นมันสำคัญเสียเมื่อไรเล่า ต่อให้นี่จะเป็นกลางสี่แยกฮงแดก็คงช่วยอะไรไม่ได้ในสถานการณ์ที่ผมกำลังจะอกหักจากคิมจงแดในขั้นที่คงไม่มีสิทธิ์แอบชอบเขาอีกต่อไปแล้ว ความรักมันยากเย็นนัก แม้แต่จันทรา ทิวาที่ใหญ่คับฟ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริง


รำพึงรำพันในใจจนพอแล้วผมก็จนตรอก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ แค่มองหน้าจงแดในตอนนี้ยังไม่กล้า บ่อมิไก๊จริงๆ เลย


“ผมชอบจงแด”


“ครับ?” เขาทำตาโต ส่วนผมตกใจตัวเองที่ตัดสินใจพูดออกไปจนได้ หมดกันแล้วความรักครั้งนี้ ผมขุดหลุมฝังตัวเองเองชัดๆ “อี้ชิง... ว่างายน่ะครับ?”


เสียงของเขาเหน่อเป็นบ้า แต่ผมขำไม่ออกหรอก สถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้มันแย่ชะมัด


แล้วผมก็ตัดสินใจผิดพลาดเป็นครั้งที่สองด้วยการพุ่งตัวไปด้านข้าง ประคองใบหน้าของจงแดมาใกล้ ก่อนจะทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นภายในรถฆ่าความสัมพันธ์ของเราสองคนโดยสมบูรณ์ ม๊าพูดถูกอย่างหนึ่ง ผมมันไม่ได้เรื่องแล้วก็ขี้ขลาดมาตลอด เพราะอย่างนั้นจึงมักจะเป็นจางอี้ชิงที่ต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไป จากนี้จะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะผมได้เริ่มแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีนักก็ตาม


“...!


จูบของจิ้งจอกยิ้มมีแต่กลิ่นโซจู เหล้าเกาหลีไม่อร่อยเลย แต่ถึงอย่างนั้นการได้ทำแบบนี้กับเขามันก็ดีมากๆ ถึงแม้ว่าอีกหนึ่ง สอง หรือสามวินาทีต่อจากนี้เขาจะผลักผมออกแล้วต่อยสักทีก็ตาม


มือของจงแดทาบลงบนอกผม ก่อนจะผลักออกสุดแรงด้วยดวงตาที่เบิกโพลงอย่างตื่นตระหนกของเขา


เหมือนระเบิดเวลาเลย... ผมคิด




“อุ่ก!


ผิดคาด เขารีบหันไปเปิดกระจกรถ อ้วกออกจนหมดไส้หมดพุงทั้งท่าชะโงกตัวออกไปข้างนอกนั่น ถึงจะเปื้อนข้างรถผมนิดหน่อยก็ชัดเถอะ เพราะแค่นี้มันยังน้อยเกินไปสำหรับสิ่งที่ผมเพิ่งทำลงไปเมื่อครู่นี้


“มีน้ำไหมครับ” เขายื่นมือมาข้างหลังทั้งที่ยังเกาะหน้าต่างอยู่ ผมรีบกระวีกระวาดเอื้อมตัวไปหยิบขวดน้ำที่เบาะหลังมาส่งให้จงแดทันที เขากรอกมันกลั้วปาก คายทิ้ง ทำอย่างนั้นอยู่สามรอบก่อนจะดื่มลงคออีกสองอึกแล้วพาตัวเองกลับเข้ามานั่งพิงเบาะดีๆ ตอนนี้ผมได้เห็นเสี้ยวหน้าของเขาแล้ว ใบหูนั้นแดงนิดๆ แต่ว่าดูเหมือนระเบิดเวลาจะทำงานช้ากว่าที่ผมคิดแฮะ


เราปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่นานสองนาน ผมบังคับตัวเองให้เริ่มขับรถต่อ แต่ร่างกายมันก็ดันนิ่งอย่างกับรอจนกว่าจงแดจะพูดอะไรออกมา


สุดท้ายแล้วเขาก็ถอนหายใจ


############# ##########


เขาพูดอะไรน่ะ... ทั้งที่รู้ว่าผมฟังภาษาเกาหลีไม่ออกแท้ๆ


###############


“จงแด... ผมไม่เข้าใจหรอกนะ...” แล้วผมยังจะมีหน้าพูดไปอย่างนั้นอีก ร้องไห้เดี๋ยวนี้จางอี้ชิง ไอ้หน้าไม่อายเอ๊ย!


แต่ว่า


แต่ว่านะ




จงแดเข้ามาจูบผม


ผมอึ้งตาค้าง เห็นแพขนตาของเขาบนเปลือกตาที่ปิดสนิทอย่างชัดเจน ม๊าครับ ช่วยผมด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมถึง --


“จางอี้ชิง”


เขาเรียกชื่อผมทันทีที่ผละออก มือของจงแดยังจับอยู่บนบ่า ทั้งบีบแน่น แล้วก็คงไม่ดีแน่ถ้าผมจะไม่จับเอวเขาตอบในท่าทางแบบนี้


ผมกลืนน้ำลายลงคอ รอว่าคิมจงแดจะพูดอะไรต่อ



-------------------------------------------

รู้ไหมว่าใครเขียน?
#exoficfest


ไม่มีความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

© LUCKY ONE FIC FEST
Maira Gall